ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับทีม Liverpool ที่คว้าแชมป์คาราบาวลีกคัพจากค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 มาสดๆร้อนๆเป็นเรื่องแรกก่อนครับ ถ้วยนี้เป็นถ้วยบอลเตะแบบแพ้คัดออกถ้วยใบเล็กที่สุดของประเทศอังกฤษ มีการเปลี่ยนสปอนเซอร์มาเรื่อยๆ องค์กรไหนประมูลชนะก็จะมีชื่อองค์กรแปะไว้หน้าถ้วย เมื่อ 5 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เครื่องดื่มชูกำลังเจ้าหนึ่งจากประเทศไทยได้เข้าไปชนะการประมูลเป็นสปอนเซอร์ของถ้วยนี้ จึงได้ชื่อว่าคาราบาวลีกคัพ
ประเด็นของวันนี้ไม่ใช่ประวัติความเป็นมาของถ้วยใบนี้ครับ แต่เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ทีม Liverpool สามารถเอาชนะมาได้นั่นคือการดวลลูกจุดโทษหรือ Penalty kick
ผู้ที่ดูการถ่ายทอดฟุตบอลเป็นประจำมักได้ยินผู้พากษ์เสียงใช้คำว่า "ดวลลูกโทษ" ฟังดูเผินๆก็เหมือนเกมส์วัดดวงว่าใครจะยิงได้แม่นยิงได้มากหรือป้องกันประตูได้มากกว่ากัน แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ได้พึ่งดวงไปเสียทั้งหมด มันมีการใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาเป็นองค์ประกอบด้วยตั้งแต่การซ้อมจนถึงในขณะแข่งขัน คนที่ลงแข่งฟุตบอลเป็นประจำมักจะใช้กลยุทธอุดเพื่อรอยิงลูกโทษเมื่อเจอทีมที่เก่งกว่ามากๆ ซึ่งคนทีมนั้นต้องทำการซ้อมการยิงลูกโทษมาเป็นอย่างดี
ในการซ้อมก็ต้องซ้อมทั้งผู้ยิงและผู้รักษาประตู และในแวดวงวิทยาศาสตร์การกีฬาก็มีการศึกษาวิจัยกันอย่างกว้างขวางยกตัวอย่างเช่น
(1) ผู้ยิง: เรามักจะเห็นการยิงไปให้ใกล้เสามากที่สุดเพราะเป็นระยะทางที่ผู้รักษาประตูมักจะพุ่งไปป้องกันไม่ทัน การยิงไปตรงนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดการชนเสาหรือออกหลังไปเลยก็ได้ ดังนั้นในการฝึกซ้อม ผู้ยิงจะต้องฝึกยิงไปยังเครื่องหมายที่กำกับไว้ให้มีความแม่นยำในหลายๆตำแหน่ง เช่นการวิจัยของ Arif Hidayat ที่ทำการฝึกนักเรียนมัธยมปลายให้ยิงลูกไปตามจุดที่เขาทำเครื่องหมายไว้เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ได้ผลว่านักเรียนเหล่านั้นมีความแม่นยำจาก 4.3 % เป็น 21.5%
เป้าซ้อมยิงในการวิจัยของ Arif Hidayat |
นอกจากความแม่นยำแล้ว ความแรงในการเตะก็เป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นกัน เราจะเห็นว่าบางคนยิงแรงแบบกะเอาตายก็มีทั้งได้ประตูและยิงออก ส่วนคนยิงเบาๆก็มีทั้งได้ประตูและไม่ได้ประตูเช่นกัน Mike Hughes และ Julia Wells ทำการวิจัยเรื่องความแรงในการยิงมีผลกับการได้ประตูอย่างไร พบว่าการใส่เต็มข้อล่อเต็มแข้งต่อให้รับได้ก็มือขาด มีคนนิยมใช้ประมาณ 18% มีโอกาสเป็นประตู 63% มีโอกาสออกหลัง 31% มีโอกาสให้ผู้รักษาประตูป้องกันได้ 7% แต่เมื่อใช้แรงเตะลดลงมาประมาณ 75% มีคนนิยมใช้ประมาณ 70% มีโอกาสเป็นประตู 81% มีโอกาสออกหลัง 1% มีโอกาสให้ผู้รักษาประตูป้องกันได้ 18% และเมื่อเตะเบาๆใช้แรงประมาณ 50% มีคนนิยมใช้ประมาณ 12% มีโอกาสเป็นประตู 47% มีโอกาสออกหลัง 0% มีโอกาสให้ผู้รักษาประตูป้องกันได้ 53%
ทั้งความแม่นยำผสมกับความแรงในการเตะก็สามารถใช้การวิจัยของ Andrew H. Hunter มาสรุปได้ว่าจะต้องมีส่วนผสมของทั้ง 2 ปัจจัยอย่างพอเหมาะพอดี
การจัดตั้งอุปกรณ์ในงานวิจัยของ Andrew H. Hunter |
ทุกแบบมีทั้งข้อดีข้อเสีย ใครนิยมแบบไหนก็ซ้อมให้บ่อยบวกกับต้องยิงให้แม่นยำนะครับ
(2) ผู้รักษาประตู: เรามักจะใช้คำว่า "เดาทาง" อยู่เป็นประจำในการที่จะป้องกันการยิง แต่ Manuel Sequeira และคณะ ได้วิจัยให้ผู้รักษาประตูอ่านภาษากายของผู้ยิงทำให้อ่านใจทิศทางการยิงได้ ในการวิจัยได้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ระยะที่หนึ่งเขาใช้วิธีบันทึกวีดีโอท่าทาง การเคลื่อนไหว และทิศทางการยิงของผู้ยิงแต่ละคนอย่างละเอียดด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ระยะที่สองเขาให้ผู้รักษาประตูดูวีดีโอของผู้ยิงอย่างละเอียดแล้วไปฝึกป้องกันการยิง ระยะที่สามให้ผู้รักษาประตูฝึกการอ่านท่าทางและทิศทางกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หลังการฝึก 8 สัปดาห์ทำให้ผู้รักษาประตูเลือกทิศทางซ้ายขวาได้ถูกต้องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่ระดับความสูงต่ำของลูกบอลนั้นยังยากเกินจะอ่านใจได้
ภาพการวิจัยของ Manuel Sequeira และคณะ |
นอกจากการอ่านใจแล้ว เราอาจเคยเห็นผู้รักษาประตูอ่านโพยสถิติทิศทางการยิงของผู้ยิงแต่ละคนด้วยซึ่งเคยได้ผลมาแล้ว รวมไปถึงการรบกวนสมาธิของผู้ยิงจากทั้งผ่ายตรงข้ามหรือไม่ก็กองเชียร์และการท่องคาถามหาอุดด้วย
ดังนั้นในการชนะจากการยิงลูกจุดโทษจะต้องพึ่งพาดวงแล้วยังต้องพึ่งพาวิทยาศาสตร์ สถิติ การฝึกซ้อม และสติไปพร้อมๆกัน
เอกสารอ้างอิงคร่าวๆจากบทความ
(1) Shooting Drills with Target Changes to Improve the Accuracy of Penalty Kick in Soccer.
(2) Analysis of penalties taken in shoot-outs.
(3) Posture-reading by men’s football goalkeepers and other factors in saving penalty kicks.
(4) Anticipating the Direction of Soccer Penalty Shots Depends on the Speed and Technique of the Kick.