แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ office syndrome แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ office syndrome แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2565

What is physiotherapy recommend to reverse forward head

         Forward head is one of the most common health problem in physiotherapy clinics. It is a postural imbalance of the head to the trunk that may develop muscle neck pain, fatigue, headaches, less neck mobility,  and poor personality.  

Ref: https://health.kapook.com/view142254.html 


  Forward head posture is called more than one name, include; “Scholar’s Neck”, “Wearsie Neck”, “I Hunch”, and “Reading Neck” or “Texting Neck”.  It is defined as a poor habitual neck posture that induces biomechanical changes in the head and spinal columns including protraction of craniocevical region. According to the forward head posture term, head away from the body centraline anteriorly. The structural change in the positioning of the cervical vertebrae in which the upper vertebrae is extended and the lower vertebrae is bent as result of which increase weight of the head over the neck. 

This type of curvature changing is found often in upper cross syndrome that is strongly associated with impairmed muscles. First muscle impairment is shortness of suboccipital muscles that reduce neck mobility. Second is weakness of neck flexors. Third is sensorimotor dysfunction increases posture fluctuation when measured in an upright position without disturbance. All of them provide high stress on cervical extensors such as levator scapulae and semi spinalis capitis and fatigue in suboccipitals like rectus capitis posterior major. 

Left: ideal posture, Right: upper cross syndrome
(Ref: https://www.manchesterosteopathy.co.uk/neck-pain)


Finally, high stress on neck muscles causes neck pain. Pain is an unpleasant sensation associated with actual or potential tissue damage. The sensory processing of affected body parts becomes abnormal and can detect changes in the central information processing system in the state of pain experience and chronic pain.

Common treatment approaches include client postural education, respiratory exercise, ergonomic office facilities, different exercise protocols, motor learning approaches and manual techniques. An important component of physiotherapy intervention provided to patients with neck pain using a combination of stretching, strengthening and sensory training. 

Physiotherapists may start treatment with neck stretching to improve neck motion. You can study neck stretching in https://rehabcompanion.blogspot.com/2022/04/physiotherapy-with-9-stretching.html . Moreover, tennis ball massage which is self - massage with your body weight and tennis ball. This procedure plays the role to soften soft tissue and increase neck motion. 

Tennis ball

Spike massage ball


One of the most common exercises for neck pain is “Chin tuck” which is a static exercise, but could not facilitate the function of cervical stabilizers while it increases the strength of cervical extensors and flexibility of cervical flexors. Additional, chin tuck exercises may improve neck pain, neck mobility, and sensorimotor. Sensorimotor or self - perception on posture should also be considered to correct posture that can enhance participants' posture awareness and potentially alter their habitual posture.



Basic physiotherapy intervention for improve forward head

Exercise #1: Tennis ball massage at sub - skull muscles: Duration of massage is not clear. When muscles decrease tension, you can start stretching or strengthening.



Exercise#2: Chin tuck: Direction of the chin tuck exercise is glide head backward. The goal standard recommends 10  - 15 reps/set for 3 sets a day. In my clinic experience, however, the recommendation is 10 reps per hour. It means chin tuck exercise happens between after waking up until going to bed.


Remark: In case of worse pain and/or any head discomfort, you should stop exercising and observe symptoms for a while. If you do not get better, you should consult doctor or physiotherapist. 


Reference: 

https://www.researchgate.net/publication/333691225_Comparison_of_Sensorimotor_Training_using_Chin-Tuck_Exercise_with_Therapeutic_Stretching_Training_on_Neck_Pain_and_Mobility_in_Individuals_with_Chronic_Non-Specific_Neck_Pain_A_pilot_randomized_contro  


https://biomedpharmajournal.org/vol14no4/immediate-effect-of-chin-tuck-exercises-on-craniovertebral-angle-and-shoulder-angle-among-collegiates-with-forward-head-posture/#:~:text=Chin%20tuck%20in%20exercise%20is%20helpful%20in%20correcting%20forward%20head,forward%20head%20posture%20(FHP)


https://www.researchgate.net/publication/324685603_Comparing_the_immediate_effect_of_chin_tuck_and_turtle_exercises_on_forward_head_posture_a_single_blind_randomized_clinical_trial 





วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565

คอยื่นอย่างเดียว ไหล่งุ้มอย่างเดียวเรียก Upper cross syndrome หรือไม่

"ลักษณะคอยื่น (forward head posture), ไหล่งุ้ม (rounded shoulder), และหลังค่อม (thoracic kyphosis) สามารถเกิดขึ้นได้ร่วมกันหรืออาจจะไม่ร่วมกันเลยก็ได้"


                Posture หรือลักษณะท่าทางคือตำแหน่งของร่างกาย มันเป็นสิ่งที่นักกายภาพบำบัดต้องใช้ในการตรวจร่างกายและการรักษาทางกายภาพบำบัดบางอย่างเป็นมาตราฐานขั้นตอนการปฏิบัติงาน ซึ่งตำแหน่งของร่างกายปกติ (ideal posture) ได้ถูกระบุลักษณะไว้และถ้าตำแหน่งของร่างกายไม่ได้อยู่ในตำแหน่งปกติจะถูกเรียกว่าลักษณะท่าทางที่ไม่ดีหรือ Poor posture

ภาพซ้าย: Poor posture และภาพขวา: ideal posture
(ภาพจาก อัญชลี คงสมชม, วัชระ สุดาชม, 2018)


                เมื่อกล่าวถึง ideal posture ของร่างกายส่วนบนจะอยู่ในตำแหน่งตามเส้นตรงสมมุติที่ดิ่งตั้งฉากกับพื้นโลก ในเส้นตรงนั้นจะมีรูหูและจุดศูนย์กลางข้อไหล่อยู่ด้วยกันโดยที่กระดูกสันหลังโค้งเล็กน้อยบวกกับกระดูกสะบักไม่ได้หุบมาด้านหน้า ส่วนลักษณะท่าทางที่ไม่ดี (poor posture) ของหลังส่วนบนมักจะมีลักษณะเฉพาะประกอบไปด้วยหัวยื่นไปข้างหน้า (forward head posture) คอแอ่นเพิ่มขึ้น (increased cervical lordosis) หลังส่วนบนค่อม (thoracic kyphosis) ไหล่ยกและยื่นไปข้างหน้า (shoulder elevation & protraction) และกระดูกสะบักมีการหมุนหรือกางออกร่วมกับภาวะ wining of scapulae ซึ่งถูกเรียกว่า upper cross syndrome ลักษณะดังกล่าวทำให้มีกล้ามเนื้อที่หดสั้นและกล้ามเนื้อที่ถูกยืดยาวออกจนทำให้มีความแข็งแรงลดลง และทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆได้เช่น โรคปวดกล้ามเนื้อและพังผืด (Myofascial pain) มีจุดกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อที่หดสั้นและยังพบอาการปวดแผ่ร้าวไปยังบริเวณอื่นๆ ได้แก่ คอ ไหล่ รอบๆ ทรวงอก แขน มือร่วมด้วย ปวดคอ (Neck pain) ปวดไหล่ (Rotator Cuff Injury) การกดทับของเส้นประสาท (nerve compression) ปวดศีรษะแบบ Tension Headaches ปวดศีรษะแบบ Cervicogenic Headaches และความจุปอดลดลง (reduced lung capacity)

                Deepika Singla ได้สรุปงานวิจัยของเขาออกมาว่าลักษณะคอยื่น (forward head posture), ไหล่งุ้ม (rounded shoulder), และหลังส่วนบนค่อม (thoracic kyphosis) สามารถเกิดขึ้นได้ร่วมกันหรืออาจจะไม่ร่วมกันเลยก็ได้ จากเป้าหมายการวิจัยของเขาคือการทบทวนงานวิจัยต่างๆเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคอยื่น ไหล่งุ้ม และหลังส่วนบนค่อม วิธีที่เขาทำงานวิจัยคือการค้นหางานวิจัยที่เป็นภาษาอังกฤษฉบับเต็มตามแหล่งตีพิมพ์ online ต่างๆเช่น PubMed, ERIC, และ Cochrane databases ที่วิจัยความสัมพันธ์ระหว่างคอยื่น ไหล่งุ้ม และหลังส่วนบนค่อมที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคมปี 2016 ทีมงานของเขาสามารถค้นหางานวิจัยออกมาได้ถึง 6,840 ชิ้น สุดท้ายเมื่ออ่านและวิเคราะห์แล้วนำมาใช้ได้ 19 ชิ้น 


                เมื่อนำมาเทียบกับประสบการณ์การทำงานของผมพบว่าเราพบคนที่มีลักษณะ upper cross syndrome จำนวนไม่น้อยซึ่งมีลักษณะเด่นคือหลังส่วนบนค่อมและคอยื่น ผมยังไม่เคยเห็นคนที่มีหลังส่วนบนค่อมโดยที่ไม่มีคอยื่นเลย หลายครั้งก็พบคนที่ไม่มีหลังส่วนบนค่อมแต่มีคอยื่นและไหล่งุ้ม หลายครั้งก็พบแค่ไหล่งุ้มเพียงอย่างเดียว หลายครั้งก็พบคอยื่นเพียงอย่างเดียว 

ภาพลักษณะ Upper cross syndrome
(ภาพจาก อัญชลี คงสมชม, วัชระ สุดาชม, 2018)
                ในการรักษาทางกายภาพบำบัดของผมก็รักษาตามความผิดเพี้ยนของตำแหน่งร่างกาย หากเพี้ยนแค่ที่คอก็แก้ไขที่คอ หากเพี้ยนแต่ที่ไหล่งุ้มก็แก้ไขที่ไหล่ แต่หากเพี้ยนครบชุดใหญ่เลยก็ต้องแก้ไขกันยาวหน่อยเพราะร่างกายคนเรามีการเชื่อมโยงกันด้วยข้อต่อ กล้ามเนื้อ และพังผืด 

                ในกรณีที่คอยื่นเพียงอย่างเดียว ผมจะทำการยืดกล้ามเนื้อคอทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ส่วนด้านข้างอาจจะไม่มีการหดสั้นของกล้ามเนื้อก็ได้แต่ถ้ามีก็ดูแลกันไป หากอิงตามตำราแล้วส่วนมากจะแนะนำให้ยืดกล้ามเนื้อฐานกะโหลกและออกกำลังกล้ามเนื้อคอมัดลึกด้านหน้า แต่จากประสบการณ์ทางคลินิกของผมเองกลับพบว่ากล้ามเนื้อคอด้านหน้าบางจุดบางเส้นใยก็เกิดการหดสั้นและต้องการการยืดด้วย ส่วนการออกกำลังกายกล้ามเนื้อคอที่เป็น gold standard ก็ยังปฏิบัติเหมือนเดิม การออกกำลังกายเพื่อแก้ไขคอยื่นนี้มีชื่อเรียกว่า chin tuck หรือ chin in มันคือการ slide คางไปด้านหลังหรืออาจจะเรียกขำๆว่าเบ่งเหนียงซึ่งไม่ใช่การก้มหน้า ผมมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติ 10 ครั้ง ทุกๆชั่วโมง แต่ก็อาจจะมีลืมบ้างเล็กน้อยเพราะสาเหตุนึงของการเกิด poor posture คือความเคยชินในการให้คออยู่ในตำแหน่งที่ผิดเพี้ยน ดังนั้นจะต้องฝึกให้เกิดความเคยชินใหม่ให้คออยู่ในตำแหน่งปกติ

Chin tuck exercise
(ภาพจาก https://musculoskeletalkey.com/structure-and-function-of-the-vertebral-column/)



                ในกรณีที่ไหล่งุ้มเพียงอย่างเดียว (ของยังไม่เล่าถึงกระดูกสะบักนะครับ) ผมก็อิงตามตำราเลย โดยหลักการแล้วจะต้องทำการยืดกล้ามเนื้อหน้าอกและออกกำลังกายกล้ามเนื้อระหว่างสะบักที่มีชื่อว่า middle trapezius ผมมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยยืดกล้ามเนื้อหน้าอกกับวงกบประตูที่มีชื่อท่าว่า Doorway pectoral stretching มันเป็นการวางแขนไว้กับวงกบประตูแล้วค่อยๆเดินไปข้างหน้าทีละนิ้วจนกระทั่งรู้สึกตึงกล้ามเนื้อหน้าอกแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น 30 วินาที เมื่อครบเวลาแล้วให้เดินถอยหลังมาตั้งหลักใหม่ซึ่งถ้ากล้ามเนื้อหดสั้นไม่มากก็ยืดวันละ 3 - 5 ครั้ง แต่ถ้ากล้ามเนื้อหดสั้นมากก็ต้องยืดจำนวนมากขึ้น ส่วนการออกกำลังกล้ามเนื้อ middle trapezius ก็มักจะใช้ท่าที่มีชื่อว่า shoulder prone T - exercise ในท่านอนคว่ำ จำนวน 10 ครั้งต่อเซต ทำซ้ำ 3 - 5 เซต

ภาพ Doorway pectoral stretching
(ภาพจาก https://www.precisionmovement.coach/doorway-pec-stretch/)


shoulder prone T - exercise
(ภาพจาก 
http://seattlepediatricsportsmedicine.com)


                ส่วนกรณีที่มีความผิดเพี้ยนหลายอย่างรวมกันขอยกยอดไปเป็นบทความในอนาคตนะครับ เพราะว่ามันมีความซับซ้อนต้องเล่ากันยาว


ปัจจัยสำคัญอันนึงที่เกิด poor posture คือความเคยชินในตำแหน่งร่างกายที่ผิดเพี้ยน โดยส่วนมากเราจะนึกภาพถึงกลุ่ม office syndrome หรือ text syndrome ผมมีความเห็นสอดคล้องกับ Deepika Singla ที่สรุปงานวิจัยของเขาออกมาว่าลักษณะคอยื่น (forward head posture), ไหล่งุ้ม (rounded shoulder), และหลังค่อม (thoracic kyphosis) สามารถเกิดขึ้นได้ร่วมกันหรืออาจจะไม่ร่วมกันเลยก็ได้ดังนั้นการรักษาทางกายภาพบำบัดกับผมจะมีการรักษาทั้งภาพรวมหรือภาพเฉพาะจุดก็ได้ และรวมถึงต้องเปลี่ยนลักษณะความเคยชินให้ได้ด้วย สุดท้ายนี้การมี poor posture เพียงอย่างเดียวไม่ถือว่าเป็น upper cross syndrome

ภาพการฝึกนั่งและฝึกยืนแบบ ideal posture ที่ต้องฝึกให้เคยชิน
(ภาพจาก อัญชลี คงสมชม, วัชระ สุดาชม, 2018)



เอกสารอ้างอิง
Singla D., et al. Association Between Forward Head, Rounded Shoulders, and Increased Thoracic                 Kyphosis: A Review of the Literature. J Chiropr Med 2017;16:220-229
อัญชลี คงสมชม, วัชระ สุดาชม. หลังค่อม ไหล่ห่อภัยสุขภาพร้ายใกล้ตัว. Siriraj Med Bull 2018;11(2):125-133.


วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2565

การเตรียมตัวไปทำกายภาพบำบัด

            

จากประสบการณ์จะเห็นว่าการไปเข้าคลินิกหมอหรือร้านขายยานั้นลูกค้าจะมีความตั้งใจไปแต่การจะไปที่แห่งไหนก็แล้วการวางแผนการเดินทาง เราจะไม่เห็นลูกค้าในลักษณะเหมือนร้านขายเสื้อผ้าหรือเบเกอรี่ที่ผ่านตาแล้วอยากแวะเผื่อจะได้ติดไม้ติดมือมาบ้าง

     อาการเจ็บป่วยทางกายภาพบำบัดที่เราเห็นกันบ่อยๆในชีวิตประจำวันคือเจ็บปวดกล้ามเนื้อเส้นเอ็นซึ่งอาจจะเกิดจากการยกของผิดท่า นั่งทำงานนานเกินไป อุบัติเหตุประจำวันเช่นตกร่องฟุตบาท บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา และอัมพาตอัมพฤกษ์ซึ่งมีลักษณะเดินคือกล้ามเนื้ออ่อนแรงซีกนึง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

     สำหรับผู้ป่วยอัมพาตอัมพฤกษ์ส่วนมากมีสาเหตุมาจากเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก (ซึ่งก็มีโรคทางระบบประสาทกล้ามเนื้ออื่นๆอีกหลายโรค) จุดเริ่มต้นในการรักษาตัวของผู้ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยจะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลระยะหนึ่ง หนึ่งในการตรวจร่างกายที่เป็นมาตราฐานคือ CT scan สมองเพื่อดูตำแหน่งและขนาดในสมองที่เสียหาย ในขณะที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหากแพทย์พบว่าสัญญาณชีพเสถียรดีแล้วก็จะส่งต่อให้นักกายภาพบำบัดดูแลด้วย หลังจากอาการปลอดภัยแล้วแพทย์ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้แต่ยังต้องทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง การฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วยสามารถเลือกได้ทั้งแผนกกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล คลินิกกายภาพบำบัด และจ้างนักกายภาพบำบัดไปที่บ้าน



           การเตรียมตัวของผู้ป่วยอัมพาตอัมพฤกษ์ในการไปหานักกายภาพบำบัด

     1. เตรียมประวัติการรักษาตัวตอนอยู่โรงพยาบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการ CT scan สมอง เพราะเป็นข้อมูลสำคัญอันนึงที่เอาไว้ใช้ประกอบการวางแผนการรักษาและตั้งเป้าหมายในการรักษา

     2. เตรียมกระเป๋าอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าสำรอง ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ แป้ง สบู่ โลชั่น เป็นต้น  

     3. เตรียมอุปกรณ์การเคลื่อนที่เช่นรถเข็น ไม้เท้า เข็มขัดหัดเดิน และผู้ดูแล

4. เตรียมกระเป๋าอุปกรณ์เสริมการแพทย์ (ถ้ามี)

     5. หาข้อมูลสถานที่ทำกายภาพบำบัดซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งแผนกกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล คลินิกกายภาพบำบัด และจ้างนักกายภาพบำบัดไปที่บ้าน

     6. โทรนัดการทำกายภาพบำบัดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่แนะนำให้ walk in นะครับเพราะอาจไม่ได้รับการบริการทันที

     

        สำหรับผู้ป่วยเจ็บปวดกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ส่วนมากจะยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้พอสมควรถึงแม้ว่าจะมีความไม่สะดวกอยู่บ้าง จึงมีความคล่องตัวมากกว่าผู้ป่วยอัมพาตอัมพฤกษ์ จุดเริ่มต้นในการรักษาตัวของผู้ป่วยประเภทนี้เกิดขึ้นได้ทั้งโรงพยาบาล คลินิกหมอ หรือคลินิกกายภาพบำบัด อย่างไรก็ตามหากมีอาการค่อนข้างซับซ้อนแล้วไปเริ่มต้นที่คลินิกที่ไม่มีอุปกรณ์ชั้นสูงแบบในโรงพยาบาลก็อาจจะต้องกลับไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล กรณีที่เริ่มต้นรักษาตัวที่โรงพยาบาลอาจจะได้พักค้างคืนหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ในขณะที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล นอกจากการรักษาทางยาแล้วแพทย์จะส่งนักกายภาพบำบัดไปช่วยดูแลอีกทางนึงด้วย หากอาการดีขึ้นพอสมควรแล้วก็จะอนุญาตให้กลับบ้านแล้วไปทำกายภาพบำบัดต่อซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งแผนกกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล คลินิกกายภาพบำบัด และจ้างนักกายภาพบำบัดไปที่บ้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยความซับซ้อนของโรครวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำกายภาพบำบัด



       การเตรียมตัวของผู้ป่วยเจ็บปวดกล้ามเนื้อเส้นเอ็นในการไปหานักกายภาพบำบัด

       1. เตรียมประวัติการรักษาตัวตอนอยู่โรงพยาบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการ x – ray, MRI หรือ CT scan หรือผลจรวจทางรังสีต่างๆ  เพราะเป็นข้อมูลสำคัญอันนึงที่เอาไว้ใช้ประกอบการวางแผนการรักษาและรักษาได้ตรงกับตำแหน่งที่บาดเจ็บ แต่ถ้าหากไม่ได้เริ่มต้นรักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือไม่มีก็ไม่เป็นไร

       2. หาข้อมูลสถานที่ทำกายภาพบำบัดซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งแผนกกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล คลินิกกายภาพบำบัด และจ้างนักกายภาพบำบัดไปที่บ้าน

       3. โทรนัดการทำกายภาพบำบัดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่แนะนำให้ walk in นะครับเพราะอาจไม่ได้รับการบริการทันที

  4. เตรียมใจเย็นๆไว้คุยกับนักกายภาพบำบัด เพราะมีคำถามง่ายๆค่อนข้างเยอะหน่อย ดังเช่นในเรื่องวิธีใช้ประโยชน์จากการภาพบำบัด (https://rehabcompanion.blogspot.com/2022/03/blog-post_7.html)

       5. เตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าชุดออกกำลังกายและรองเท้าผ้าใบ (optional) 

       

6. ผู้ที่มีอาการเจ็บปวดส่วนล่างของร่างกายซึ่งหมายถึงตั้งแต่สะโพกไปจนถึงนิ้วเท้าขอแนะนำให้นำกางเกงกีฬาขาสั้นไปด้วย ส่วนคุณผู้หญิงที่มีอาการเจ็บบริเวณไหล่ขอแนะนำให้นำ Sports bar หรือเสื้อกล้ามเปิดไหล่ไปด้วยและถ้ามีอาการปวดแผ่นหลังการใส่ sports bar จะทำการรักษาได้สะดวกครับ 

 

Sport bar มีพื้นที่เปิดไหล่และเเผ่นหลัง ส่วนกางเกงขาสั้นขากว้างมีพื้นที่เปิดส่วนล่าง

     

     วลีคำว่าเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งก็สามารถใช้กับกรณีนี้เช่นกัน หากนักกายภาพบำบัดมีข้อมูลที่มากพอจากทั้งทางเอกสาร การซักประวัติ และตรวจร่างกายเพื่อนำไปวิเคราะห์และสังเคราะห์การวางแผนการรักษาได้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกับผู้ป่วย ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาฟื้นฟูที่ถูกต้อง ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้างนะครับ



 

 

 

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565

วิธีใช้ประโยชน์ของกายภาพบำบัด

                   กายภาพบำบัดเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์แขนงหนึ่งที่ให้บริการดูแลทั้งทางด้านการรักษาและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บปวดหรือทุพลภาพ ด้านการป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงเช่นซ้อมกีฬาอย่างหนักหรือการหกล้มในผู้สูงอายุ และด้านการส่งเสริมสุขภาพเพื่อให้ผู้ที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วมีสุขภาพดีมากขึ้นไปอีกจะเห็นได้ว่างานกายภาพบำบัดมีความกว้างมากและสามารถแทรกเข้าไปมีส่วนร่วมกับชีวิตคนเราได้แทบทุกสภาวะ

                    ด้วยความกว้างมากและสามารถแทรกเข้าไปมีส่วนร่วมกับชีวิตคนเราได้แทบทุกสภาวะนี่แหละครับที่ทำให้เราอธิบายตัวตนและงานของเราได้ไม่เฉพาะเจาะจงอย่างที่บางอาชีพเขาอธิบายกันได้เช่นเภสัชกร นักบัญชี เป็นต้น หากต้องการทำความเข้าใจเส้นทางของนักกายภาพบำบัด สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ใน https://rehabcompanion.blogspot.com/2022/02/blog-post_25.html

                    วิธีให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดจากกายภาพบำบัดมีหลักการง่ายๆ 2 อย่างคือ1. การเล่าเรื่องและใจเย็นตอบคำถามของนักกายภาพบำบัดไปเรื่อยๆ การสนทนากับเราจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น วิเคราะห์ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น และวางแผนการรักษาได้ถูกต้องมากขึ้น นอกจากจะลดอาการของผู้ป่วยได้แล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยประหยัดเวลาและเงินในการรักษาด้วย 2. การออกแรงฝึกตามที่นักกายภาพบำบัดออกแบบวางแผน



    

                บทสนทนาของเราจะเริ่มต้นด้วยขั้นตอนที่เรียกว่าการซักประวัติ คำถามทางคลินิกยอดนิยมของเรามักจะเป็นประมาณนี้

  • มีอาการอะไรถึงมาหาเรา?
  • อะไรที่น่าจะทำให้เกิดอาการนี้?
  • มีอาการมากี่วันแล้ว?
  • มีอาการเป็นๆหายๆหรือว่าอาการคงที่?
  • อะไรที่ทำให้อาการแย่ลง?
  • อะไรที่ทำให้อาการดีขึ้น? กินยาอะไรไปบ้าง?
  •  ได้รับการรักษาอะไรมาก่อนหรือไม่? เคยไปหาหมอด้วยปัญหานี้มาก่อนหรือไม่? หมอมีความเห็นว่ายังไง?
  •  คาดหวังผลการรักษาเป็นอย่างไร? และคาดหวังว่าอยากใช้เวลาเท่าไหร่? (คำถามนี้ผู้ป่วยอาจจะงงได้แต่ยังไงก็ตอบมาก่อน ไม่มีผิดไม่มีถูก เดี๋ยวเรายังต้องผ่านขึ้นตอนอะไรบางอย่างอีกพอสมควรแล้วจะทำให้คำตอบชัดเจนขึ้น)




                    และยังอาจจะมีคำถามอื่นๆอีกเพื่อที่จะมาช่วยทำให้ทิศทางการตรวจร่างกายที่เราจะต้องทำเป็นขึ้นตอนต่อไปชัดเจนยิ่งขึ้น หากผู้ป่วยให้ข้อมูลกับเราน้อยเกินไปหรือใจร้อนไม่อยากตอบแล้ว จะทำให้เราต้องเดาทิศทางการตรวจร่างกายไปต่างๆนานาซึ่งอาจจะทำให้ใช้เวลาในการตรวจร่างกายนานและได้ข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน

                ขั้นตอนถัดมาคือการตรวจร่างกายซึ่งตัวอย่างคำถามในการตรวจร่างกายเช่น

  • กดตรงนี้เจ็บมั้ยหรือตึงมั้ย?
  • ขยับข้อต่อนี้ตึงมั้ย ติดมั้ย เจ็บมั้ย?
  • ทำท่านี้ตามผมแล้วมีอาการเจ็บมั้ย?
  • มีอาการชาบริเวณไหนบ้าง ช่วยชี้ให้ละเอียด?




                    เมื่อตรวจร่างกายเสร็จเราก็เข้าสู่ขั้นตอนการรักษา ในขณะที่ทำการรักษานักกายภาพบำบัดอาจจะมีการสอบถามเป็นระยะเพื่อดูการตอบสนองต่อการรักษาอย่างไร นักกายภาพบำบัดจะทำการรักษาตามแผนเดิมหากมีการตอบสนองที่ดี และนักกายภาพบำบัดจะเปลี่ยนแผนการรักษาอย่างรวดเร็วหากมีการตอบสนองที่ไม่ดี ในย่อหน้านี้จะเห็นได้ว่ามีการใช้หลักการข้อ 1 และข้อ 2 เช่นหากนักกายภาพบำบัดใช้เครื่อง ultrasound ในการรักษาแล้วผู้ป่วยรู้สึกปวดมากขึ้น เราก็จะต้องรีบปรับกลยุทธในการรักษา หรือเช่นการยืดกล้ามเนื้อ หากผู้ป่วยรู้สึกเจ็บมากขึ้น เราจะต้องปรับเป็นค่อยๆยืดทีละนิด เป็นต้น

                  ยกตัวอย่างเช่นครั้งหนึ่งที่รักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังแต่ไม่ร้าวลงขา ผู้ป่วยรายนี้ให้ประวัติได้ค่อนข้างคลุมเครือ ไม่ค่อยได้สังเกตตัวเอง การตรวจร่างกายชี้มาทางที่ว่าจะใช้การรักษาด้วยการออกกำลังกายหลังในทิศทางแอ่นหลัง เมื่อทำไปสักพักมาเช็คอาการดูปรากฏว่ารู้สึกแย่ลงและหลังเเข็งมากขึ้น ผมจึงลองเปลี่ยนมาเป็นการออกกำลังกายในทิศทางนั่งแล้วก้มตัว เมื่อทำไปสักพักมาเช็คอาการซ้ำปรากฏว่าสบายขึ้นและมุมการเคลื่อนไหวของลำตัวดีขึ้นมาก อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างนึงในประสบการณ์ทำงานมากกว่า 20 ปี



                ที่เล่าให้ฟังคราวนี้เป็นประสบการณ์ในการทำงานของผมเอง หลายๆครั้งที่ต้องอธิบายคำถามและแจ้งวัตถุประสงค์ในการถามเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงวิธีการทำงานของเรา นานๆครั้งก็จะมีผู้ป่วยที่ไม่อยากบอกอะไรมากโยนภาระทั้งหมดมาให้เราประมาณว่าฉันเอาตัวมาแล้วคุณก็รักษาไปสิ ด้วยจรรยาบรรณ์ผมก็ต้องหาจังหวะและโอกาสในการค่อยๆละลายกำแพงลงจนสามารถทำงานตามกระบวนการของเราได้ ผู้ป่วยประเภทแบบนี้มักทำให้ผมหายใจไม่ค่อยทั่วปอด ตรงกันข้ามเลยก็มีบางรายที่ชอบการสนทนาคุยสนุกขำกันจนปอดโยกก็ต้องคอยตัดบทเพราะเดี๋ยวจะไม่เหลือเวลาที่จะตรวจและรักษา


“ดังนั้นผู้ป่วยต้องใจเย็นแล้วคอยตอบคำถามของนักกายภาพบำบัดเรื่อยๆเพื่อประโยชน์ในการรักษา”

             

            หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านได้ประโยชน์บ้าง หากใครมีข้อสงสัยอะไรก็เขียนมาถามได้เลยครับ


               

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2565

กายภาพบำบัด vs. Personal trainer

 

 คนออกกำลังกายแต่ละคนจะมีเป้าหมายเป็นของตัวเองเช่นหลายคนออกกำลังกายเพื่อตอบสนองความชอบหรือเพื่อสุขภาพทั่วไปมักจะออกกำลังกายเท่าที่สมรรถภาพทางกายจะทำได้ หลายคนออกกำลังกายเพื่อเข้าสังคมซึ่งเรามักจะนึกถึงกีฬากอล์ฟเป็นอันดับแรก หลายคนออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก หลายคนออกกำลังกายเพื่อพัฒนาสมรรภาพหรือเข้าร่วมการแข่งขัน เป็นต้น

                สำหรับคนที่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทั่วไปและตามความชอบก็จะออกกำลังกายเองและมักจะไม่มองหาวิธีการหรือบุคคลมาผลักดันและกดดันให้ตัวเองมีสมรรถภาพเพิ่มขึ้น แต่สำหรับคนที่ออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวเฉพาะเช่นกอล์ฟ เทนนิส ฯลฯ และคนที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสมรรถภาพของตัวเองมักจะมองหาวิธีการและบุคลากรมาช่วยให้บรรลุเป้าหมายนั้นซึ่งมีคำเรียกหลายชื่อเช่น personal trainer, ครู, หรือโค้ช เป็นต้น

                การเรียกย่อๆว่า PT หากหมายถึงตัวบุคคลจะแปลว่า Personal trainer ซึ่งเป็นโค้ชส่วนตัว และหากหมายถึงการทำงานจะแปลว่า Personal training ซึ่งเป็นการฝึกสอนให้ส่วนตัว ถึงแม้ว่าจะมีคำว่า “ส่วนตัว” แต่การออกกำลังกายบางประเภทก็สามารถรวมกลุ่มลงขันกันจ้างโค้ชมาสอนเป็นกลุ่มก็ได้ เช่นการวิ่งหรือการปั่นจักรยาน การรวมกลุ่มจ้างโค้ชมักจะเป็นกลุ่มนักกีฬาสมัครเล่น แต่หากเป็นกลุ่มกีฬาอาชีพแล้วโดยเฉพาะกีฬาประเภทเดี่ยวเช่นกอล์ฟ เทนนิส ว่ายน้ำ การยกน้ำหนัก มักจะจ้างโค้ชไว้เป็นการส่วนตัว








       

         จะเห็นได้ว่า PT เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายหลายประเภทจัง 

เส้นทางการเป็น PT เป็นมายังไง


                PT ส่วนนึงจะเป็นผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาหรือ Sports Science โดยพื้นฐานคนเหล่านี้จะได้รับการเรียนเกี่ยวกับการออกกำลังกายประเภทต่างๆ การเคลื่อนไหวของการออกกำลังกายประเภทต่างๆ การวางแผนโปรแกรมการฝึกซ้อมทั้งระยะสั้นและระยะยาว การใช้อุปกรณ์การออกกำลังกาย การทำงานของระบบในร่างกาย กายวิภาคศาสตร์ เทคนิคการสอนและถ่ายทอดข้อมูล การบาดเจ็บทางการกีฬาและการออกกำลังกายในผู้ป่วย ในหลักสูตรก็มีการเรียนในห้องเรียนและการฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ส่วนมากจะเป็นฟิตเนสและทีมกีฬา แต่ปัจจุบันนี้ได้มีการเข้าไปฝึกงานในโรงพยาบาลบางแห่งบ้างแล้วซึ่งทำหน้าที่ในการออกแบบให้คำแนะนำในการออกกำลังกายกับผู้ป่วยบางประเภทภายใต้การดูแลของแพทย์ จนถึงการจัดชั่วโมงการออกกำลังกายให้กับผู้ป่วยและบุคลากรในโรงพยาบาลด้วย ยกตัวอย่างเช่นการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานที่ประกอบไปด้วยการยืดกล้ามเนื้อที่ถูกต้อง การยกน้ำหนักเพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกาย การออกกำลังกายแบบ aerobic ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยาน การใช้ลู่วิ่งไฟฟ้า หรือการเต้นแอโรบิค หรืออื่นๆ ส่งผลให้ PT ถูกจัดว่าเป็นบุคลากรทางสุขภาพแขนงหนึ่งไปแล้ว ดังนั้น PT ที่จบปริญญาตรีมาสามารถทำงานได้ทั้งในโรงพยาบาล ในฟิตเนส ในทีมกีฬา หรือการจ้างส่วนตัว

                ตามเส้นทางวิชาการของ PT ปริญญาตรียังสามารถเรียนต่อในปริญญาโทและปริญญาเอกได้ในมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ จบมาแล้วก็ไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้กับบริษัทหรือองค์กรรัฐบาลต่างๆได้ เป็นนักวิชาการหรือครูอาจารย์ได้ หรือเป็น PT ก็ได้



                ส่วน PT อีกส่วนนึงที่ไม่ได้จบปริญญาตรีมาตรงสายแต่เป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จในกีฬาประเภทนั้นมาก่อนเช่นกอล์ฟ เทนนิส วิ่ง ไตรกีฬา ว่ายน้ำ ฟุตบอล เป็นต้น ไม่ต้องห่วงว่า PT กลุ่มนี้จะใช้แค่ประสบการณ์มาสอนเพราะปัจจุบันนี้เขามักจะไปอบรมและศึกษาเพิ่มเติมทำให้มีข้อมูลและความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักวิชาการมากขึ้น เราจะเจอคนกลุ่มนี้ตามประเภทกีฬาเท่านั้น จะไม่เจอในโรงพยาบาลเพราะไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการบาดเจ็บทางการกีฬาและการออกกำลังกายในผู้ป่วยเว้นเสียแต่จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ด้วย




                ส่วน PT อีกส่วนนึงที่ไม่ได้จบทั้งปริญญาตรีและไม่ได้เป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จแต่หลงไหลในการออกกำลังกายประเภทนั้น จะไปเรียนหลักสูตรใบประกาศระยะสั้นของสถาบันต่างๆเช่น ACE แล้วมาทำงานเป็นโค้ชซึ่งมีหลากหลายอาชีพทั้งที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์และไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์

                ในวิชาชีพกายภาพบำบัดหรือ Physiotherapy นั้นเมื่อก่อนเราก็เรียกตัวเองย่อๆว่า PT แต่ปัจจุบันต้องขยับไปเรียกตัวเองว่า Physio เพื่อจะได้ไม่ทับซ้อนกับ Personal trainer ในหลักสูตรของกายภาพบำบัดได้บรรจุวิชาการออกกำลังกายเพื่อการรักษา (Therapeutic exercise) เป็นหลักสูตรหลักซึ่งมันก็เป็นเสาหลักอันหนึ่งที่ต้องนำมาใช้ในการทำงานของกายภาพบำบัด เมื่อสมัยเป็นนักศึกษาเราได้เรียนหลักการออกกำลังกายในกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บหรือเป็นอัมพาตเพื่อใช้ในการรักษา เรียนการออกกำลังกายในกลุ่มคนที่เป็นโรค NCDs ได้แก่เบาหวาน หัวไจ ความดันสูง โรคอ้วนลงพุง โรคมะเร็ง โรคถุงลงโป่งพอง โรคไขมันในเลือดสูง เพื่อแก้ไขการทำงานที่บกพร่องและส่งเสริมสุขภาพ เรียนการออกกำลังกายในผู้สูงอายุเพื่อส่งเสริมสุขภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และน่าจะมีอย่างอื่นอีกที่ความจำเลือนลางเพราะไม่ได้ใช้ทำงานไปบ้างแล้ว เราต้องนำกลุ่มออกกำลังกายด้วย ถึงแม้ว่าเราจะถูกฝึกแบบนี้มาแต่นักกายภาพบำบัดหลายๆคนก็ไม่ได้สานต่องานส่วนนี้และเราไม่ได้ถูกฝึกให้วางแผนโปรแกรมการฝึกซ้อมแบบโค้ชด้วย ทำให้ทักษะการนำกลุ่มออกกำลังกายหรือการฝึกซ้อมนักกีฬาเรามีน้อยกว่า PT อย่างไรก็ตามนักกายภาพบำบัดจะมีทักษะในการออกกำลังกายเพื่อการรักษากล้ามเนื้อที่บาดเจ็บและเป็นอัมพาตสูงมาก





                จักรวาลการออกกำลังกายและ PT กว้างใหญ่มาก อาจมีเนื้อหาตกหล่นไปบ้าง สามารถบอกกล่าวกันได้ครับ หากต้องการพัฒนาสมรรถภาพและผลงานทางการแข่งขันขอแนะนำว่าจ้าง PT ดีที่สุดครับ แต่หากบาดเจ็บกล้ามเนื้อขอแนะนำให้มาพบนักกายภาพบำบัดเพื่อซ่อมแซมและออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ก่อน แล้วค่อยกลับไปออกกำลังกายกับ PT ให้เต็มเหนี่ยวไปเลยครับ



 

Sports physiotherapy management for tennis elbow and other treatment options.

Ultrasound therapy in tennis elbow treatment (Ref: https://nesintherapy.com/) Tennis elbow is degeneration of the tendons that attach to t...