แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผ่อนคลาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผ่อนคลาย แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2565

เปรียบเทียบการนวด Sports massage, Swedish massage, Thai massage

 การเปรียบเทียบข้อมูลการนวด Sports massage, Swedish massage, Thai massage

                ถึงแม้ว่าการนวดทุกประเภทในโลกนี้จะมีเป้าหมายในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจิตใจเป็นหลักเหมือนกันหมด แต่ในรายละเอียดวิธีการนวดก็แตกต่างกันออกไปซึ่งทำให้ผลลัพทธ์ของการนวดแตกต่างกันออกไปบ้าง ในบทความนี้ได้รวบรวมการนวดที่นิยมในประเทศไทยมาเปรียบเทียบกันเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเลือกการนวดที่ตรงกับความต้องการของตัวเองมากที่สุดโดยเนื้อหานำมาจากประสบการณ์ของผมบางส่วนผสมกับเนื้อหาทางเอกสารวิชาการ

1. ถิ่นกำเนิด

        Sports massage: ประเทศฟินแลนด์

        Swedish massage: ประเทศสวีเดน

        Thai massage: ประเทศไทย


2. วิธีการนวด

        Sports massage: นวดด้วยมือ นิ้ว และท่อนแขน

        Swedish massage: นวดด้วยมือ นิ้ว และท่อนแขน


        Thai massage: นวดด้วยแทบทุกส่วนของร่างกายได้แก่มือ นิ้ว ท่อนแขน ศอก สะโพก เข่า เท้า





3. การยืดกล้ามเนื้อ

         Sports massage: ยืดกล้ามเนื้อที่จำเป็นตามชนิดกีฬา



        Swedish massage: ไม่มี

        Thai massage: ยืดกล้ามเนื้อตำมแบบฉบับการนวดแผนไทย



4. การดัดข้อ

        Sports massage: ไม่มี

        Swedish massage: ไม่มี

        Thai massage: มีการดัดกระดูกสันหลังเล็กน้อย




5. นวดพังผืด (myofascial fascia release)

        Sports massage: มี

        Swedish massage: มี

        Thai massage: ไม่มี


6. ประคบร้อน/เย็น

        Sports massage: ไม่มี

        Swedish massage: ไม่มี

        Thai massage: มีการประคบร้อนผ่านลูกประคบสมุนไพรเป็นตัวเลือกที่ผู้รับบริการเลือกได้



7. รูปแบบการนวด

          Sports massage: ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ปรับตามประเภทกีฬา สภาพนักกีฬา และสถานการณ์ ณ เวลานั้น

        Swedish massage: มีรูปแบบการนวดค่อนข้างตายตัว แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้พอสมควรเพื่อตามความเหมาะสม

        Thai massage: มีรูปแบบการนวดที่ตายตัว แต่พอจะปรับเปลี่ยนได้บ้างเพื่อความเหมาะสม


8. ลักษณะเด่นพิเศษ

        Sports massage: นวดกล้ามเนื้อตามที่ชนิดกีฬาใช้, ประกอบไปด้วยการนวดกระตุ้นก่อนแข่ง (preevent), นวดรักษาความสดชื่นระหว่างแข่ง (interevent) และนวดเพื่อการฟื้นตัวหลังแข่ง (postevemt)


        Swedish massage: เป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายอย่างแท้จริงในบรรยากาศชวนหลับไหลเคลิ้มไปกับการนวดที่อ่อนโยน จึงทำให้กล้่มเนื้อคลายตัวและหย่อยตัวได้ดีมาก, ไม่เหมาะที่จะใช้นวดก่อนซ้อมหรือแข่งกีฬาจึงเหมาะที่จะใช้หลังจากการซ้อมหรือแข่งเท่านั้นหรือใช้ช่วงปิดฤดูกาล

        Thai massage: มีการนวด 2 แบบคือแบบทั่วไปและแบบราชสำนัก, เป็นการนวดเพื่อผ่อนคลาย ตามประสบการณ์ของผมเปรียบเทียบแล้วจะได้รับน้ำหนักการนวดมากกว่าการนวด Swedish, มีการนวดทั้งนอนคว่ำ นอนหงาย นอนตะแคง และนั่ง, ใช้เทคนิคการเหยียบด้วยเท้าร่วมด้วย, ไม่เหมาะที่จะใช้นวดก่อนซ้อมหรือแข่งกีฬา


9. ระยะเวลาในการนวด

        Sports massage: ไม่เกิน 20 นาที

        Swedish massage: ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง

        Thai massage: ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง


10. ผลของการนวด

         Sports massage: ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจิตใจ, ป้องกันการหดสั้นของกล้ามเนื้อที่จำเป็นตามชนิดกีฬา, ลดการเจ็บปวดและระบมกล้ามเนื้อ, เสียแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่มาก, เพิ่มความยืดหยุ่นของพังผืด

        Swedish massage: ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจิตใจ, ลดการเจ็บปวดและระบมกล้ามเนื้อ, มีโอกาสเสียแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อมากกว่า sports massage, เพิ่มความยืดหยุ่นของพังผืด

        Thai massage: ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจิตใจ, ป้องกันการหดสั้นของกล้ามเนื้อบางมัด, ลดการเจ็บปวดและระบมกล้ามเนื้อ, มีโอกาสเสียแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อมากกว่า sports massage


11. กลุ่มลูกค้า

        Sports massage: นักกีฬา

        Swedish massage: นักกีฬาโดยเฉพาะช่วงปิดฤดูกาลแข่งขัน, คนทั่วไปเช่น office syndrome, ผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่มีข้อห้ามหรือสามารถควบคุมโรคได้แล้วเช่นผู้ป่วยอัมพาตอัมพฤกษ์เพื่อลดอาการเกร็งแต่ต้องนวดด้วยความระมัดระวัง

        Thai massage: นักกีฬาโดยเฉพาะช่วงปิดฤดูกาลแข่งขัน, คนทั่วไปเช่น office syndrome, ผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่มีข้อห้ามหรือสามารถควบคุมโรคได้แล้วเช่นผู้ป่วยอัมพาตอัมพฤกษ์เพื่อลดอาการเกร็งแต่ต้องนวดด้วยความระมัดระวัง





        เนื้อหาทั้งหมดไม่สามารถเปรียบเทียบเรื่องราคาได้เนื่องจากการตั้งราคามีความแตกต่างจำเพาะในแต่ละสถานที่ หากผู้อ่านเป็นนักกีฬาอาชีพที่อยู่ในช่วงฤดูกาลแข่งขัน ผมอยากแนะนำให้ใช้การนวด sports massage ไปก่อน และสามารถใช้การนวดอื่นๆเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในช่วงปิดฤดูกาล ส่วนผู้อ่านที่ไม่ใช่นักกีฬาอาชีพหรือเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพและสังคมสามารถเลือกการนวดแบบไหนก็ได้ตามชอบใจ หากชอบการนวดที่หนักหน่อยแบบถึงอกถึงใจ ตามประสบการณ์ผมขอแนะนำนวดไทย ส่วนคนที่กล้ามเนื้อน้อยหรือไม่ชอบการนวดหนักๆก็ขอแนะนำการนวด Swedish 

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2565

การนวดหลังแข่งหรือ Postevent massage มีอะไรมากกว่าการผ่อนคลาย (2)

                จากบทความที่แล้วได้เล่าถึงอะไรมากกว่าการผ่อนคลายของการนวดหลังแข่งคือการฟื้นตัว (recovery) รวมถึงต้องมีการสังเกตอาการขาดน้ำและสภาพจิตใจของนักกีฬา การป้องกันการแพร่โรคติดต่อระหว่างกัน บทความนี้จะมาเล่าต่ออีกว่ายังมีอะไรซ่อนอยู่อีก

               

"การนวด Postevent sports massage ใช้เป็นการรักษาได้ด้วย"

                ในกรณีที่พึ่งแข่งขันกีฬาในระยะทางไกลเสร็จเช่นมาราธอนหรือไตรกีฬา นักกีฬาจะไม่ได้ถูกนวดในกล้ามเนื้อชั้นลึกๆ (deep tissue massage) เพราะกล้ามเนื้อเหล่านั้นมีโอกาสที่จะมีอาการล้ามากและตึงมาจากการที่แบกภาระใช้งานอย่างเต็มที่ตลอดเวลาที่แข่งขัน อาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆของเนื้อเยื่ออาจจะเกิดขึ้นได้ การนวดกล้ามเนื้อในระดับลึกๆอาจจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บได้มากขึ้น นักกีฬาจะได้รับ deep tissue massage เมื่อตอนกล้ามเนื้อฟื้นตัวแล้ว ดังนั้นในช่วงหลังแข่งใหม่ๆ การนวดจะใช้วิธีลูบเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองเป็นหลักและก็อาจใช้เทคนิคอื่นๆร่วมด้วยก็ได้

                นักกีฬาจะได้รับการยืดกล้ามเนื้อด้วย การยืดกล้ามเนื้อจะช่วยให้กล้ามเนื้อของนักกีฬามีความยืดหยุ่น ไม่ตึง เคลื่อนไหวง่าย ช่วยกรตุ้นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และช่วยคลายการบีบอัดเส้นเลือดเล็กๆทำให้การไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อบริเวณนั้นดีขึ้น          

                การนวด Postevent sports massage ไม่ควรนวดนานกว่า 10 - 15 นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการแข่งกีฬาระยะทางไกล ถ้านักกีฬาใช้เวลานวดนานเกิน 15 นาที อาจจะมีการเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นตะคริวและ/หรืออาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆได้ ถึงแม้ว่าการนวดนี้จะใช้ในการผ่อนคลายตะคริวหลังการแข่งแต่ก็ไม่ควรนวดเกิน 15 นาที 


"การนวด Postevent sports massage ใช้เป็นการซ่อมบำรุงสภาพร่างกาย"

                นักกีฬาที่อยู่ในช่วงซ้อมหรือช่วงแข่งที่ไม่มีอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหรือพึ่งหายจากอาการบาดเจ็บจะได้รับวิธีการนวดนี้เพื่อให้มีการฟื้นตัว การนวดวิธีนี้จะใช้วิธีแบบ deep tissue massage เฉพาะจุดที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนไหวร่วมด้วย ที่สำคัญอีกอย่างนึงคือผู้นวดจะต้องเข้าใจประเภทกีฬาและนิสัยการเคลื่อนไหวของนักกีฬาเป็นประจำรวมทั้งตารางการฝึกซ้อมของนักกีฬาด้วยเพื่อที่จะเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการได้ตรงจุดมากขึ้น ดังนั้นการสื่อสารกันระหว่างตัวนักกีฬา โค้ช และผู้นวด และอาจจะร่วมไปถึงแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด จะช่วยให้การดูแลนักกีฬามีประสิทธิภาพมากขึ้น


"ตัวอย่างของข้อควรระวังและข้อห้ามสำหรับ Sports massage"

            นักกีฬาอาชีพมีค่าตัวสูงและมีความสำคัญกับสโมสรมาก การนวด sports massage ที่ดูเหมือนจะธรรมดาจึงธรรมดาไม่ได้เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดจนนักกีฬาไม่สามารถทำผลงานที่ดีได้ก็จะทำให้ตัวนักกีฬาและสโมสรเสียประโยชน์ การนวดจึงต้องทำด้วยความระวังและมีกรอบกำหนดข้อห้ามบางอย่าง

            ข้อควรระวังในการนวด Sports massage (หมายถึงนวดได้แต่ต้องป้องกันไม่ส่งเสริมโรคที่นักกีฬามีจนเกิดการเจ็บป่วยและคอยสังเกตความผิดปกติต่างๆ) ได้แก่: นักกีฬาที่มีโรคต่างๆเช่น โรคความดันสูง เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง โรคไต ฯลฯ ดังนั้นนักกีฬาต้องช่วยบอกผู้นวดด้วยเพื่อประโยชน์ของตัวเองและผู้นวดควรต้องถามนักกีฬาด้วย

            ข้อห้ามในการนวด Sports massage (หมายถึงไม่ให้เกิดการนวดขึ้นในกรณีเหล่านี้ นักกีฬาต้องไปรับการดูแลด้วยวิธีอื่นๆก่อนเช่นพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด) เช่น: 

  •             มีไข้จากทุกสาเหตุ
  •             บริเวณที่จะนวดมีอาการอักเสบเฉียบพลัน
  •             บริเวณที่จะนวดมีบาดเเผลเลือดออกหรือแผลไหม้
  •             การนวดเนื้อเยื่อระดับลึกที่บริเวณเส้นเลือดขอด
  •             มีภาวะกระดูกพรุน
  •             บริเวณที่จะนวดมีเส้นเลือดอักเสบ
  •             มีโรคผิวหนังหรือปัญหาผิวหนังอย่างรุนแรง
  •             วัณโรคหรือการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ
  •             กระดูกหักระยะแรก
  •             กล้ามเนื้อ/เอ็นฉีกขาดเฉียบพลัน

            ส่วนสภาวะที่ต้องให้แพทย์วินิจฉัยก่อนการนวดได้แก่การตั้งครรภ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกและช่วงใกล้คลอด - โรคมะเร็ง - ความผิดปกติของร่างกายและจิตที่สามารถแย่ลงด้วยการนวด sports massage 


            

    ในการทำงานเชิงเวชศาสตร์การกีฬาต้องมีการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายเช่นตัวนักกีฬาเอง โค้ช ผู้นวด แพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ ฯลฯ ดังนั้นการนวดที่ดูเหมือนจะธรรมดาอาจจะต้องมีการสื่อสารที่มากกว่าการนวดแบบทั่วไปเพื่อทำให้นักกีฬาไปสร้างผลงานที่ดีที่สุด

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2565

การนวดหลังแข่งหรือ Postevent massage มีอะไรมากกว่าการผ่อนคลาย (1)

            เรามักจะไปนวดเมื่อมีเวลาว่างหลังจากเสร็จจากการทำงานเพื่อผ่อนคลายและเติมความสดชื่นให้กับตัวเราใช่มั้ยครับ            

"การทำงานของนักกีฬาก็คือการซ้อมและแข่ง" 

            หลังจากเสร็จภาระกิจแล้วได้รับการนวดก็เป็นประโยชน์ในการช่วยนักกีฬาฟื้นตัว (recovery) ช่วยลดความรุนแรงของการระบมกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อไม่สูญเสียการทำงาน และยังเชื่อว่าสามารถลด Delay Onset Muscle Soreness (DOMS) หลังจากออกกำลังกายหนักๆได้ด้วย 




            ขออธิบายตรงนี้เพิ่มเล็กน้อยว่ามีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่าการนวดไม่สามารถทำให้อาการ DOMS หายไปได้ บางงานวิจัยก็พบว่ากรดแลคติคลดลง บางงานรายงานไว้ว่านักกีฬาสบายใจขึ้น แต่ไม่สามารถล้างอาการ DOMS ได้ บวกกับประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมโดน DOMS เล่นงาน การนวดไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นมากอย่างแตกต่างชัดเจน แต่ผมก็ยังชอบอยากไปนวดนะครับ



            สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การนวดหลังการแข่งโดยเฉพาะการแข่งที่มีระยะทางไกลหรือเวลานานๆเช่นมาราธอน คือการ cool down เป็นเวลาประมาณ 20 นาที ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆอย่างต่อเนื่องเช่นการเดิน ร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อและการค่อยดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายค่อยปรับสู่สภาวะพักคือชีพจรลดลงกลับมาอยู่ในช่วงปกติ อุณหภูมิแกนกลางร่างกายลดลง ค่อยๆปรับการไหลเวียนของเลือดให้ไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอ มีตำราที่เขียนถึงการหยุดพักร่างกายอย่างฉับพลันจากการพึ่งออกกำลังกายมาอย่างหนักสามารถทำให้เป็นลมล้มพับเพราะเลือดไหลกลับหัวใจไม่พอและไปสมองไม่พอจึงทำให้หมดสติไป


การยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย


            การปรับอุณหภูมิแกนกลางลงก็มีความสำคัญต่อสุขภาพนักกีฬา โดยปกติแล้วเมื่ออุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นจากการออกกำลังกาย ร่างกายจะพยายามกำจัดถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะหลังจากออกกำลังกายเสร็จแล้ว วิธีการลดความร้อนที่สำคัญอันหนึ่งคือการค่อยๆดื่มน้ำให้เพียงพอ 


  • การเฝ้าระวังในขณะนวด Postevent massage

            มีความสำคัญที่ต้องเฝ้าอาการไม่พึงประสงค์ของนักกีฬาระวังในขณะที่ทำการนวด Postevent ให้กับนักกีฬาเพื่อให้นักกีฬามีความปลอดภัยและได้รับการฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นวดและนักกีฬาควรจะช่วยกันในการสังเกตอาการของตัวนักกีฬาหลังจากออกกำลังกายถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเกิดเหตุร้ายขึ้นน้อยเช่นนักกีฬามีอาการหมดสติในขณะที่นวด

            นักกีฬาและโดยเฉพาะผู้นวดควรช่วยเฝ้าสังเกตอุณหภูมิแกนกลางและชีพจรและการขาดน้ำที่มีความสัมพันธ์กัน การเสียเหงื่อขณะออกกำลังกายทำให้ร่างกายขาดน้ำและทำให้ปริมาณเลือดในระบบลดลง ถึงจะมีโอกาสน้อยที่จะเกิดความดันโลหิตตกฉับพลันแต่ก็สามารถส่งผลถึงการควบคุมอุณหภูมิแกนกลางร่างกายให้สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปได้ เลือดในระบบที่น้อยลงนี้ยังต้องไปเลี้ยงกล้ามเนื้อเพื่อลงเชื้อเพลิงให้กับกล้ามเนื้อและหมุนเวียนไปที่ผิวหนังเพื่อนำความร้อนไปถ่ายเทออก ดังนั้นเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวทันทีเช่นวิ่งเข้าเส้นชัยแล้วยืนตรงนิ่งๆเลยจะมีโอกาสทำให้เลือดจากกล้ามเนื้อและผิวหนังไหวเวียนกลับหัวใจและสมองไม่ทันเพราะว่าไม่มีกล้ามเนื้อคอยปั้มเหมือนในขณะที่กำลังออกกำลังกาย ซึ่งจะส่งผลให้สูญเสียการรู้สึกตัวได้ การ cool down ประมาณ 20 นาทีจะเป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายปลอดภัยมากกว่าที่จะเริ่มนวดเลยทันที




            หากพบว่าชีพจรยังเต้นเร็วก็ควรรอให้ลดลงมาต่ำกว่า 100 ครั้งต่อนาที การที่ชีพจรเต้นเร็วอาจเป็นผลมาจากการขาดน้ำอย่างรุนแรงหรืออุณหภูมิยังสูงเกินไป นักกีฬาอาจจะเดินไปมาช้าๆตากพัดลมพร้อมกับค่อยๆดื่มน้ำไปเรื่อยๆก็ถือว่าเป็นการ cool down ได้ทางนึง

            การพูดคุยหรือการถามนักกีฬาด้วยคำถามง่ายๆในขณะทำการนวด คอยสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองและคุณภาพของการพูด เป็นการประเมินการรู้สึกตัวของนักกีฬาได้ง่าย หากนักกีฬามีการพูดไม่ชัดหรือหลงบุคคล เวลา สถานที่ มีการตอบคำถามช้าหรือคิดนานทุกคำถาม นั่นเป็นสัญญาณบอกถึงการสูญเสียการรู้สึกตัว หากเริ่มเจอการสูญเสียการรู้สึกตัวและแย่ลงอย่างรวดเร็ว นักกีฬาต้องรีบได้รับการรักษาจากแพทย์ซึ่งถ้าปล่อยไว้หรือไม่ได้สังเกตอาจเกิดความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

            นอกจากนี้ยังต้องคอยสังเกตสภาพจิตใจของนักกีฬาด้วย 

            ผู้นวดต้องระวังสารคัดหลั่งหรือของเหลวของนักกีฬาด้วย โดยปกตินักกีฬาจะมีแค่เหงื่อแต่ถ้ามีของเหลวบางอย่างเช่นอ้วก เลือด และอื่นๆ ตัวอย่างเช่นบางรายหลังจากจบมาราธอนจะมีเลือดออกจากหัวนมหรือบริเวณขาหนีบหรืออ้วกจากการเหนื่อยมากๆ ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก

            ผู้นวดควรใส่ถุงมือยางทางการแพทย์เพื่อป้องกัน HIV, hepatitis B & C, และโรคที่ติดต่อผ่านทางของเหลวระหว่างตัวเองและนักกีฬา นอกจากใส่ถุงมือแล้วยังใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทันทีเพื่อฆ่าเชื้อที่มือ เตียงนวด และพื้นผิวอื่นๆที่สัมผัสกับสารคัดหลั่ง หากนักกีฬามีเลือดออกต้องได้รับการทำความสะอาดและทำแผลโดยบุคลากรทางการแพทย์ก่อนที่จะเริ่มการนวด

            การนวดหลังการแข่งมีประโยชน์ในการฟื้นตัวและป้องกันกล้ามเนื้อระบมได้แต่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้นด้วยการ cool down ประมาณ 20 นาที และค่อยๆดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อลดอุณหภูมิและชีพจรลงมาให้อยู่ในระดับปกติ มิฉะนั้นอาจเกิดอาการเจ็บป่วยจากความร้อนได้และอันตรายถึงตาย ดังนั้นนักกีฬาควรรับผิดชอบตัวเองในการดื่มน้ำและ cool down ส่วนผู้นวดต้องช่วยสังเกตอาการความผิดปกติต่างๆในขณะ Postevent massage และป้องกันโรคติดต่อที่ผ่านทางสารคัดหลั่งระหว่างกันด้วย เพื่อความปลอดภัยของนักกีฬาและตัวผู้นวดเอง

Heat stroke อาการป่วยจากความร้อนที่ต้อง
ได้รับการระบายความร้อนและการรักษาพยาบาลโดยทันที




วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

การนวดอะไรเอ่ยที่เป็นการนวดหลังแข่งและก่อนแข่งในเวลาเดียวกัน

 Interevent คือการรวมตัวกันของการนวดก่อนแข่ง (preevent) และการนวดหลังแข่ง (postevent) เพราะว่ามันคือการนวดหลังแข่ง match นี้และเป็นการนวดก่อนแข่ง match ถัดไป 


            การนวด interevent จะใช้ในระหว่างพักยกการแข่งขันเช่นมวย ระหว่างพักครึ่งเช่นฟุตบอล ระหว่างพัก match เช่นเทควันโด หรือระหว่างวันว่างในทัวร์นาเมนต์ การนวดจะใช้เวลาประมาณ 10 - 15 นาที แต่การนวดระหว่างพักยกกีฬามวยจะใช้เวลานวดเพียง 20 - 60 วินาที ช่วงเวลาในการนวดที่ดีแล้วจะต้องนวดก่อนแข่งขันประมาณ 60 - 90 นาที โดยมีวัตถุประสงค์ทั้งเป็นการกระตุ้นและการผ่อนคลาย เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง เทคนิคการนวดจึงใช้การลูบ (effleurage) เป็นหลัก ตำแหน่งที่นวดก็จะเน้นไปที่กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของประเภทกีฬานั้นรวมถึงบริเวณที่ต้องรับแรงปะทะอยู่เป็นประจำด้วย


            ประสบการณ์ในการนวดของผมในการนวดนักกีฬาระหว่างการแข่งเช่น

            ในกีฬาฟุตบอล 11 คน ซึ่งมักทำการแข่งวันละ 1 ครั้ง การนวดระหว่างช่วงพักครึ่งเวลา 15 นาที จะทำการนวดคนละได้ไม่นาน ในเกมส์ทีมชาติผมกับนักกายภาพบำบัดอีกคนจะทำการซ่อมร่างให้นักฟุตบอลเช่นการน็อคน้ำแข็งและติดเทป ส่วนเจ้าหน้าที่นวดจะรีบนวดให้นักกีฬาบางคนที่จำเป็นเท่านั้น คนที่ไม่มีอาการตึงหรือเจ็บก็นั่งฟังแผนจากโค้ชเพียงอย่างเดียว

            ในกีฬาฟุตบอล 7 คน ในบางรายการจะทำการแข่งขันมากกว่า 1 นัด ภายในหนึ่งวัน ประสบการณ์ที่น่าจดจำ ทั้งสนุก ทั้งลุ้นมากๆเลยคือการแข่งขันฟุตบอลเยาวชน 7 คนของสโมสร Bayern Munish ในประเทศเยอรมัน เป็นการแข่งให้จบภายในวันเดียวที่ต้องเล่นกันประมาณ 7 -8 นัด ด้วยมีนักกายภาพบำบัดคนเดียวดูแลผู้เล่น 10 คน เพราะว่าผู้เล่นทุกคนมีความสำคัญตลอดทั้งวันทำให้ผมต้องวางแผนดูแลผู้เล่นตั้งแต่คืนก่อนแข่งด้วยการสำรวจผู้เล่นที่บาดเจ็บหรือต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดูตารางเวลาแข่งขันเพื่อวางแผนในการดูแลในช่วงระยะเวลาระหว่างรอการแข่งนัดถัดไปแล้วยังต้องเผื่อเวลาการ warm up ในแต่ละนัดเข้าไปด้วย และการปรับแผนการดูแลผู้เล่นนัดต่อนัดเพราะอาจมีคนบาดเจ็บหรือกล้ามเนื้อตึงขึ้นมา จะว่าไปแล้วก็ถือได้ว่าต้องทำงานใช้ทั้งสมองและร่างกายต่อเนื่องทั้งวัน หลังจากจบการแข่งคืนนั้นกลับโรงแรมหลับสบายเลยครับ





            ในการแข่งขันเทนนิสไทยแลนด์โอเพ่น รายการนี้ออกแรงไม่ค่อยเยอะ ส่วนมากจะแข่งวันละ 1 ครั้ง แต่บางทีก็มีต้องแข่งประเภทคู่ด้วย เราก็มีโอกาสได้นวดระหว่างรอแข่งเล็กน้อย ส่วนการนวดหรือกายภาพบำบัดในขณะที่การแข่งขันยังดำเนินอยู่ ตามกติการแล้วจะมีเวลาให้นักเทนนิส 3 นาที ถ้ายังแข่งไม่ไหวก็ต้องโยนผ้ายอมแพ้ ซึ่งตรงนี้ผมยังไม่มีโอกาสได้ทำ

            ในการแข่งขันรักบี้ 7 คน ที่มักจะแข่งมากกว่า 1 นัด ภายในหนึ่งวัน ก็พอจะได้นวดบ้าง นักรักบี้จะใช้เวลาก่อนแข่งในการ warm up และติดเทปมากกว่า แต่ก็ใช้เวลาในการนวดนักกีฬาแต่ละคนไม่นานอยู่ดี การนวดภาคสนามไม่ได้สวยงามครับ เรานวดกับพื้นหญ้าเลย

       

ข้อสำคัญอีกอันหนึ่งในการนวดหรือกายภาพบำบัดให้นักกีฬาในช่วงเวลาแบบนี้คือต้องให้เขาอยู่ในสายตาโค้ชและต้องได้ยินแผนการเล่นจากโค้ชอย่างชัดเจน


วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2565

Preevent massage จุดเด่นของ Sports massage ที่นวดแบบอื่นไม่มี

         

    จุดเด่นของ Sports massage อันหนึ่งคือมีการนำมานวดก่อนที่จะแข่งขันหรือซ้อมกีฬาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวให้มากขึ้นทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหลในขณะอยู่ในเกมส์ 


  • ประสบการณ์ของนักกีฬาในการนวด

            นักกีฬาที่มีโอกาสนวด Preevent (พรีอีเว้นท์) กับผมส่วนมากจะเป็นนักฟุตบอล ประสบการณ์อันนึงตอนที่เป็นนักกายภาพบำบัดให้กับทีมชาติไทย ในวันแข่งขันตอนเช้าเจ้าหน้าที่นวดประจำทีมจะพาผมออกสำรวจว่าผู้เล่นคนไหนต้องการนวด เราก็จะจัดการทะยอยนวดให้ตามตารางเวลาที่เอื้ออำนวย และเราจะไปถึงสนามแข่งก่อน kick off อย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมง นักฟุตบอลก็จะเปลี่ยนชุดสำหรับ warm up บวกติดเทปป้องกันข้อเท้าบ้างส่วนอื่นบ้าง ใครที่ต้องการนวดก็จะมาให้นวดมีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ในห้องแต่งตัวเราจะจัดเวลานวดได้น้อยกว่าตอนอยู่โรงแรม ดังนั้นถ้าผู้เล่นคนไหนไม่อยากนวดแบบเร่งรีบก็ต้องมาเข้าคิวนวดตั้งแต่ที่โรงแรม แล้วทุกคนก็จะออกจากห้องแต่งตัวไปลงสนามเพื่อ warm up อีกประมาณครึ่งชั่วโมงนิดๆ แล้วกลับเข้าห้องเพื่อสรุปแผนการเล่นและเปลี่ยนเป็นชุดแข่ง ในระหว่างนั้นผู้เล่นคนไหนอยากเก็บรายละเอียดในการนวด ยืด หรือติดเทปได้อีกนิดหน่อยก็ทำได้แต่ตาต้องดู หูต้องฟังการสรุปแผนอย่างมีสมาธิ เรามีเวลาอยู่ในห้องแต่งตัวกันอีกไม่เต็มชั่วโมงก็ต้องไปเข้าแถวเพื่อลงสนามแข่ง การทำงานในห้องแต่งตัวของเจ้าหน้าที่นวดและผมในช่วงก่อนแข่งเลยดูเหมือนจะยุ่งพอสมควร

ผมเองกำลังนวดน่องก่อนลงแข่งที่สนาม Alianz Arena
ที่เป็นสนามเย้าของทีมฟุตบอล Bayern Munich ที่ประเทศเยอรมัน



ห้องแต่งตัวกีฬาประเภททีมจะมีเตียงและโต๊ะวางอุปกรณ์อยู่กลางห้อง
เพื่อที่ทุกคนจะสามารถฟังโค้ชได้พร้อมๆกัน


            ส่วนตามงานวิ่งระยะไกลต่างๆเท่าที่ผมเคยไปออกหน่วยบริการนิดหน่อย ก็ไม่ค่อยมีนักวิ่งเข้ามาขอนวดก่อน แทบทั้งหมดจะไป warm up กับกลุ่มเพื่อนๆด้วยตัวเองมากกว่า ส่วนคนที่เข้ามาขอนวด เราก็จะเน้นไปที่น่องกับต้นขาซึ่งใช้เวลาไม่เกินคนละ 10 นาที

            อีกงานหนึ่งที่เคยจัดคลินิกเฉพาะกิจในงานเทนนิสไทยเเลนด์โอเพ่น ก็จะมีนักเทนนิสบางคนมาใช้บริการนวดก่อนที่จะไป warm up แต่ส่วนใหญ่จะมานวดหลังจากการแข่งขัน ตอนนั้นได้เจอนักเทนนิสที่มีชื่อเสียงทั้งคนไทยและต่างชาติ เช่น จิลส์ ซิมง อดีตแชมป์เมื่อปี 2009 และดนัย อุดมโชค 


  • ประโยชน์ของการนวดก่อนการแข่งขัน

            ถึงแม้ว่ามันจะถูกนำมาเตรียมกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวก่อนเกมส์กีฬาแต่มันก็ไม่สามารถทดแทนการอบอุ่นร่างกายหรือ warm up ที่เราต้องทำเป็นประจำก่อนแข่งหรือซ้อมเพราะการนวดไม่สามารถที่จะเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มอุณหภูมิแกนกลาง เพิ่มมุมการเคลื่อนไหว และเพิ่มการตื่นตัวของระบบประสาทกล้ามเนื้อได้เท่ากับการ warm up แต่อย่างน้อยการนวดก็ช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้กล้ามเนื้อมีแรงมากขึ้นก็ตาม 

               ความยืดหยุ่นของร่างกายที่เกิดจากการนวดเพราะว่าบริเวณที่นวดจะมีการไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่ออ่อนต่างๆได้แก่พังผืด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเอ็นหุ้มข้อ ยิ่งร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อเพิ่มเข้ามาอีกจะยิ่งทำให้มุมการเคลื่อนไหวมีมากขึ้น

                

  • ช่วงเวลาการนวดที่เหมาะสม

                นักกีฬาที่ต้องการนวดก่อนการแข่งขันต้องรีบมารับบริการประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน ซึ่งระยะเวลาในการนวดส่วนมากจะใช้เวลาเพียง 10 นาที ถ้ารายละเอียดมากหน่อยก็ไม่เกิน 20 นาที ซึ่งกล้ามเนื้อที่นวดก็จะเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเล่นกีฬาเป็นหลัก แต่ถ้าเวลายังเหลือก็สามารถนวดกล้ามเนื้อที่เหลือก็ได้ ในขณะที่นวดนักกีฬาจะใช้สมาธิและทบทวนแผนการแข่งขันดังนั้นหากไม่จำเป็นผู้นวดไม่ต้องชวนนักกีฬาคุย แต่ถ้านักกีฬาชวนคุยก่อนก็สามารถที่จะคุยไปด้วยก็ได้


การนวดก่อนการซ้อมฟุตบอลที่สนามซ้อมของทีม Bayern Munish ในประเทศเยอรมัน


  • จังหวะความเร็วมือในการนวดก่อนการแข่งขัน

                คุณผู้อ่านเคยเห็นการนวดนักมวยไทยมั้ยครับ นั่นคือวิธีการนวดของ Preevent massage แต่ถ้าใครไม่เคยดูมวยไทย ผมขอให้ลองนึกถึงเวลาเราเข้าสปาไปนวดน้ำมันที่นวดช้าๆเนิบๆค่อยๆลูบไล้อย่างสุภาพนุ่มนวล แต่จังหวะความเร็วในการนวด Preevent นั้นจะตรงข้ามแบบขาวกับดำเลยคือนวดเร็วแรงเหมือนการปลุกคนขี้เซาให้ตื่น แต่จะไม่ลงน้ำหนักมือมาก ตามหลักการแล้วความเร็วที่ผู้นวดต้องทำให้ได้คือเร็วกว่าอัตราการเต้นของหัวใจของนักกีฬา ดังนั้นหากนักกีฬาคนไหนมานวด Preevent เป็นครั้งแรกก็ไม่ต้องตกใจนะครับ ส่วนคนนวดก็ต้องฟิตต้องมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและกล้ามเนื้อหัวใจเพราะความเร็วที่ใช้นวดนั้นทำให้อัตราการเต้นของหัวใจคนนวดอาจจะแซงความเร็วมือก็เป็นได้

                เพื่อให้เคลื่อนมือได้ไหลลื่น ผู้นวดต้องเตรียมพวกน้ำมันหรือครีมต่างๆไว้เช่น baby oil, ยานวดชนิดครีม, ยานวดชนิดน้ำ, ยานวดชนิดสเปรย์ หรือครีมสำหรับการนวด เป็นต้น นักกีฬาบางคนชอบร้อนๆก็ใช้พวกยานวดเป็นหลัก นักกีฬาบางคนไม่ชอบร้อนๆก็ใช้พวกครีมนวดหรือ baby oil สำหรับการลงทุนที่น้อยที่สุดคือ baby oil และในการใช้ไม่ต้องเทออกมามากเพราะจะทำให้ลื่นเกินไป

การนวด Preevent ในการแข่งขันมวยไทย


  • การยืดกล้ามเนื้อในการนวด Preevent

                การยืดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของประเภทกีฬาเบาๆในการนวด Preevent มีความสำคัญในการช่วยการไหลเวียนของเลือดและลดโอกาสในการเป็นตะคริวได้ การยืดกล้ามเนื้อสามารถเลือกทำในช่วงท้ายของการนวดหรือนวดไปยืดไปก็ได้หรือจะยืดช่วงไหนของการนวดก็แล้วแต่ผู้นวดออกแบบได้เลย 

           

การยืดกล้ามเนื้อหลังจากนวดในนักฟุตบอลก่อนที่จะลงสนามซ้อม

สรุปได้ว่าหลักการนวด Preevent ของ Sports massage เป็นการนวดก่อนการฝึกซ้อมและการแข่งขันซึ่งจะใช้เวลานวดและการยืดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องเฉพาะชนิดกีฬาอยู่ระหว่าง 10 - 20 นาที จังหวะการนวดจะเร็วแรงเหมือนรัวกลองเพื่อกระตุ้นปลุกเร้ากล้ามเนื่อทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตามการนวดนี้ไม่สามารถทดแทนการ warm up ได้ต่อให้นวดแล้วก็ต้อง warm up อยู่ดี

 

การยืดกล้ามเนื้อก่อนการซ้อมในกีฬามวยไทย

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2565

Sports Massage Science Overview: ภาพรวม Sports Massage

             Sports massage หากแปลตรงตัวไม่ได้หมายความว่ากีฬาการนวดนะครับแต่มันคือการนวดให้นักกีฬา



  • ประวัติอย่างย่อของ Sports massage

            Sports massage เกิดขึ้นในประเทศฟินแลนด์ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1900 โดยการพัฒนาจากการนวดของประเทศเพื่อนบ้านคือสวีเดนหรือเรียกว่า Swedish massage ด้วยเอกลักษณ์การนวดแบบฟินแลนด์ที่มีความหนักความแข็งแรงซึ่งเมื่อลองนำมานวดในนักกีฬาที่มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าคนปกติทำให้รู้สึกถึงอกถึงใจมากกว่าการนวดแบบคลาสสิคของ Swedish massage


  • ประโยชน์ของ Sports massage 

            1. ช่วยปลุกกล้ามเนื้อให้ตื่น เป็นการเตรียมตัวก่อนที่จะฝึกซ้อมหรือแข่งขัน

            2. ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อสดชื่นในระหว่างการแข่งขัน

            3. ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังจากการฝึกซ้อมหรือแข่งขัน

            4. ช่วยลดความเครียดของจิตใจและอารมณ์

            5. ช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บบางอย่างได้

            6. ช่วยลดระดับกรดแลคติคในเลือดหลังจากออกกำลังกายได้บางส่วน เป็นการช่วยลดภาวะระบมกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกาย

            7. ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและร่างกาย

        

    "การนวดไม่สามารถการันตีผลงานการแข่งขันได้เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากที่ส่งผลต่อผลการแข่งขัน"


  • ลักษณะของ Sports massage 

            จากข้อมูลที่มีทำให้ผมสรุปลักษณะสำคัญของ Sports massage ออกมาได้ 4 อย่างได้แก่ 

            1. การนวดประมาณ 10 เทคนิค 

                    ในการนวดนักกีฬาผมนับเทคนิคย่อยๆทั้งหมดออกมาได้ประมาณ 10 - 11 เทคนิคซึ่งในการนวดแต่ละครั้งก็ไม่ได้จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด การนวดมีรูปแบบเป็นกรอบไว้เป็นแค่ guide line แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอาการและสถานการณ์ของนักกีฬา



            2. การนวดกล้ามเนื้อเฉพาะตามลักษณะชนิดกีฬา 

                    กีฬาแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะการใช้กล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว ผู้นวดจะต้องเข้าใจวิธีการเคลื่อนไหวของกีฬาแต่ละประเภทด้วยเพื่อที่จะนวดได้ตรงจุด การนวดในนักวิ่งก็ไม่เหมือนกับการนวดในนักว่ายน้ำ

            3. การยืดกล้ามเนื้อตามลักษณะชนิดกีฬา

                    กีฬาแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะการใช้กล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว ผู้นวดจะต้องเข้าใจวิธีการเคลื่อนไหวของกีฬาแต่ละประเภทด้วยเพื่อที่จะยืดกล้ามเนื้อได้ถูกต้อง การยืดกล้ามเนื้อในนักวิ่งก็ไม่เหมือนกับการนวดในนักว่ายน้ำ




            4. การนวดในแต่ละช่วงการฝึกหรือแข่งขัน

                    หากพูดถึงการนวดเรามักจะนึกถึงการผ่อนคลายโดยเฉพาะการคลายกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อหย่อนซึ่งจะนำมาใช้เพียงแค่ช่วงหลังการซ้อมหรือแข่งขันเท่านั้น สำหรับก่อนและระหว่างการแข่งขันส่วนมากเราจะใช้วิธีนวดกระตุ้น หากใช้การนวดเพื่อผ่อนคลายจะทำให้แรงหดตัวของกล้ามเนื้อลดลงส่งผลให้กล้ามเนื้อออกแรงได้ลดลงซึ่งอาจจะมีผลต่อผลการแข่งขันเลยก็ได้




        

    "สรุปได้ว่า Sports massage ไม่มีรูปแบบการนวดที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับอาการ สถานการณ์ และประเภทกีฬา การนวดจะมีการผสมผสานการยืดกล้ามเนื้อด้วย ผู้นวดจะต้องมีความรู้ในการใช้กล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวของกีฬาแต่ละชนิด จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมจะเห็นผู้นวดที่อยู่ในทีมกีฬาสามารถนวดได้เฉพาะเจาะจงกับกีฬาประเภทนั้นจริงๆ"

            บทความนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ทำให้เห็นภาพกว้างๆ ซึ่งผมจะทะยอยเขียนมาเล่าให้ฟังต่ออีกเรื่อยๆนะครับ

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565

วิธีใช้ประโยชน์ของกายภาพบำบัด

                   กายภาพบำบัดเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์แขนงหนึ่งที่ให้บริการดูแลทั้งทางด้านการรักษาและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บปวดหรือทุพลภาพ ด้านการป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงเช่นซ้อมกีฬาอย่างหนักหรือการหกล้มในผู้สูงอายุ และด้านการส่งเสริมสุขภาพเพื่อให้ผู้ที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วมีสุขภาพดีมากขึ้นไปอีกจะเห็นได้ว่างานกายภาพบำบัดมีความกว้างมากและสามารถแทรกเข้าไปมีส่วนร่วมกับชีวิตคนเราได้แทบทุกสภาวะ

                    ด้วยความกว้างมากและสามารถแทรกเข้าไปมีส่วนร่วมกับชีวิตคนเราได้แทบทุกสภาวะนี่แหละครับที่ทำให้เราอธิบายตัวตนและงานของเราได้ไม่เฉพาะเจาะจงอย่างที่บางอาชีพเขาอธิบายกันได้เช่นเภสัชกร นักบัญชี เป็นต้น หากต้องการทำความเข้าใจเส้นทางของนักกายภาพบำบัด สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ใน https://rehabcompanion.blogspot.com/2022/02/blog-post_25.html

                    วิธีให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดจากกายภาพบำบัดมีหลักการง่ายๆ 2 อย่างคือ1. การเล่าเรื่องและใจเย็นตอบคำถามของนักกายภาพบำบัดไปเรื่อยๆ การสนทนากับเราจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น วิเคราะห์ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น และวางแผนการรักษาได้ถูกต้องมากขึ้น นอกจากจะลดอาการของผู้ป่วยได้แล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยประหยัดเวลาและเงินในการรักษาด้วย 2. การออกแรงฝึกตามที่นักกายภาพบำบัดออกแบบวางแผน



    

                บทสนทนาของเราจะเริ่มต้นด้วยขั้นตอนที่เรียกว่าการซักประวัติ คำถามทางคลินิกยอดนิยมของเรามักจะเป็นประมาณนี้

  • มีอาการอะไรถึงมาหาเรา?
  • อะไรที่น่าจะทำให้เกิดอาการนี้?
  • มีอาการมากี่วันแล้ว?
  • มีอาการเป็นๆหายๆหรือว่าอาการคงที่?
  • อะไรที่ทำให้อาการแย่ลง?
  • อะไรที่ทำให้อาการดีขึ้น? กินยาอะไรไปบ้าง?
  •  ได้รับการรักษาอะไรมาก่อนหรือไม่? เคยไปหาหมอด้วยปัญหานี้มาก่อนหรือไม่? หมอมีความเห็นว่ายังไง?
  •  คาดหวังผลการรักษาเป็นอย่างไร? และคาดหวังว่าอยากใช้เวลาเท่าไหร่? (คำถามนี้ผู้ป่วยอาจจะงงได้แต่ยังไงก็ตอบมาก่อน ไม่มีผิดไม่มีถูก เดี๋ยวเรายังต้องผ่านขึ้นตอนอะไรบางอย่างอีกพอสมควรแล้วจะทำให้คำตอบชัดเจนขึ้น)




                    และยังอาจจะมีคำถามอื่นๆอีกเพื่อที่จะมาช่วยทำให้ทิศทางการตรวจร่างกายที่เราจะต้องทำเป็นขึ้นตอนต่อไปชัดเจนยิ่งขึ้น หากผู้ป่วยให้ข้อมูลกับเราน้อยเกินไปหรือใจร้อนไม่อยากตอบแล้ว จะทำให้เราต้องเดาทิศทางการตรวจร่างกายไปต่างๆนานาซึ่งอาจจะทำให้ใช้เวลาในการตรวจร่างกายนานและได้ข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน

                ขั้นตอนถัดมาคือการตรวจร่างกายซึ่งตัวอย่างคำถามในการตรวจร่างกายเช่น

  • กดตรงนี้เจ็บมั้ยหรือตึงมั้ย?
  • ขยับข้อต่อนี้ตึงมั้ย ติดมั้ย เจ็บมั้ย?
  • ทำท่านี้ตามผมแล้วมีอาการเจ็บมั้ย?
  • มีอาการชาบริเวณไหนบ้าง ช่วยชี้ให้ละเอียด?




                    เมื่อตรวจร่างกายเสร็จเราก็เข้าสู่ขั้นตอนการรักษา ในขณะที่ทำการรักษานักกายภาพบำบัดอาจจะมีการสอบถามเป็นระยะเพื่อดูการตอบสนองต่อการรักษาอย่างไร นักกายภาพบำบัดจะทำการรักษาตามแผนเดิมหากมีการตอบสนองที่ดี และนักกายภาพบำบัดจะเปลี่ยนแผนการรักษาอย่างรวดเร็วหากมีการตอบสนองที่ไม่ดี ในย่อหน้านี้จะเห็นได้ว่ามีการใช้หลักการข้อ 1 และข้อ 2 เช่นหากนักกายภาพบำบัดใช้เครื่อง ultrasound ในการรักษาแล้วผู้ป่วยรู้สึกปวดมากขึ้น เราก็จะต้องรีบปรับกลยุทธในการรักษา หรือเช่นการยืดกล้ามเนื้อ หากผู้ป่วยรู้สึกเจ็บมากขึ้น เราจะต้องปรับเป็นค่อยๆยืดทีละนิด เป็นต้น

                  ยกตัวอย่างเช่นครั้งหนึ่งที่รักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังแต่ไม่ร้าวลงขา ผู้ป่วยรายนี้ให้ประวัติได้ค่อนข้างคลุมเครือ ไม่ค่อยได้สังเกตตัวเอง การตรวจร่างกายชี้มาทางที่ว่าจะใช้การรักษาด้วยการออกกำลังกายหลังในทิศทางแอ่นหลัง เมื่อทำไปสักพักมาเช็คอาการดูปรากฏว่ารู้สึกแย่ลงและหลังเเข็งมากขึ้น ผมจึงลองเปลี่ยนมาเป็นการออกกำลังกายในทิศทางนั่งแล้วก้มตัว เมื่อทำไปสักพักมาเช็คอาการซ้ำปรากฏว่าสบายขึ้นและมุมการเคลื่อนไหวของลำตัวดีขึ้นมาก อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างนึงในประสบการณ์ทำงานมากกว่า 20 ปี



                ที่เล่าให้ฟังคราวนี้เป็นประสบการณ์ในการทำงานของผมเอง หลายๆครั้งที่ต้องอธิบายคำถามและแจ้งวัตถุประสงค์ในการถามเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงวิธีการทำงานของเรา นานๆครั้งก็จะมีผู้ป่วยที่ไม่อยากบอกอะไรมากโยนภาระทั้งหมดมาให้เราประมาณว่าฉันเอาตัวมาแล้วคุณก็รักษาไปสิ ด้วยจรรยาบรรณ์ผมก็ต้องหาจังหวะและโอกาสในการค่อยๆละลายกำแพงลงจนสามารถทำงานตามกระบวนการของเราได้ ผู้ป่วยประเภทแบบนี้มักทำให้ผมหายใจไม่ค่อยทั่วปอด ตรงกันข้ามเลยก็มีบางรายที่ชอบการสนทนาคุยสนุกขำกันจนปอดโยกก็ต้องคอยตัดบทเพราะเดี๋ยวจะไม่เหลือเวลาที่จะตรวจและรักษา


“ดังนั้นผู้ป่วยต้องใจเย็นแล้วคอยตอบคำถามของนักกายภาพบำบัดเรื่อยๆเพื่อประโยชน์ในการรักษา”

             

            หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านได้ประโยชน์บ้าง หากใครมีข้อสงสัยอะไรก็เขียนมาถามได้เลยครับ


               

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2565

กายภาพบำบัด vs. หมอนวด

        คนที่เจ็บกล้ามเนื้อหลายๆคนและหลายๆครั้งมีคำถามว่ามาทำกายภาพบำบัดคือมานวดใช่มั้ย? นักกายภาพบำบัดคือหมอนวดปริญญา? ในความรู้สึกของนักกายภาพบำบัดหลายๆคนจะค่อยข้างตอบลำบากกับคำถามนี้รวมทั้งตัวผมด้วย แต่ผมมักจะตอบว่าผมสามารถนวดได้ครับ มันเป็นส่วนนึงของการรักษาแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของตัวโรคและต้องตรวจร่างกายตามมาตราฐานของกายภาพบำบัดก่อนนวด คำถามอีกข้อนึงที่นักกายภาพบำบัดมักจะต้องตอบคือไปนวดได้มั้ย คำถามนี้เดี๋ยวมีเฉลยตอนท้ายครับ


 
  • นิยามที่แตกต่างระหว่างนักกายภาพบำบัดและนักนวด
        ผมได้นิยามนักกายภาพบำบัดว่าเป็นนักพัฒนาและป้องกันการเคลื่อนไหวบกพร่องจากความเสื่อมตามอายุ, การบาดเจ็บ, ความเจ็บปวด, โรค, ความบกพร่องของร่างกาย, และ/หรือสิ่งแวดล้อม ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แขนงกายภาพบำบัด (อ่านย้อนหลังได้ที่ https://rehabcompanion.blogspot.com/.../02/blog-post_25.html) ในกระบวนการการรักษาทางกายภาพบำบัดมักจะประกอบด้วยการใช้เครื่องไฟฟ้าทางกายภาพบำบัดเช่น ultrasound, shock wave, high power laser, radio frequency, ประคบร้อน, ประคบเย็น และการใช้มือบำบัดได้การการนวดกล้ามเนื้อและเอ็น, การดึงดัดข้อ, การยืดกล้ามเนื้อ, การกระตุ้นกล้ามเนื้อผ่านระบบประสาทรับความรู้สึก, การออกกำลังกายเพื่อการรักษา 

การยืดกล้ามเนื้อเกี่ยวกับมัดที่มีปัญหา


         หมอนวดหรือ massage therapist เป็นนักนวด มาจากคำว่า นัก = ผู้ทำบ่อยๆ หรือชำนาญ นวด = นวด ดังนั้นกระบวนการของนักนวดคือการนวดตามรูปแบบของการนวดนั้นๆ เช่นนวดน้ำมันเป็นการนวดด้วยการลูบผิวและกล้ามเนื้อด้วยน้ำมัน นวดไทยเป็นการนวดตามหลักการของเส้นประสาน 10 ตามศาสตร์การนวดแผนไทยซึ่งมีทั้งการนวด การยืดและการดัดผสมผสานกันไป นวดอโรม่าเป็นการนวดน้ำมันหอมระเหยจะใช้แรงน้อยกว่านวดน้ำมัน นวดกีฬา (sports massage) เป็นการนวดกล้ามเนื้อเป็นหลักมีทั้งการนวดหนักนวดเบาเพื่อให้เข้าถึงชั้นกล้ามเนื้อทั้งลึกทั้งตื้นซึ่งการนวดชนิดนี้ผมจะขอยกไปไว้เป็นอีกหัวข้อนึงในอนาคต การนวดที่กล่าวมานี่้เป็นเพียงส่วนนึงในตลาดการนวดที่เป็นจักรวาลที่กว้างใหญ่มาก

หน้าตาฟินมากกกกกกกก


 
  • ความแตกต่างของการทำงานระหว่างนักกายภาพบำบัดและ massage therapist
(1) หลักสูตรการศึกษา: นักกายภาพบำบัดจะต้องจบปริญญาตรีสาขากายภาพบำบัดเป็นอย่างน้อยและมีใบประกอบโรคศิลปะเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นนักกายภาพบำบัดอย่างแท้จริง ส่วน massage therapist บางคนก็ไปเรียนอบรมระยะสั้นซึ่งเป็นคนที่มาจากหลากหลายอาชีพที่ต้องการมีทักษะในการทำงานอื่นเพิ่่มเติม หรือหลายๆคนก็จบปริญญาตรีแพทย์แผนไทยหรือจีนและมีใบประกอบโรคศิลปะ 
(2) สถานประกอบการ: ทั้งคลินิกกายภาพบำบัดและร้านนวดต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการจากสาธารณสุขจังหวัดทั้งคู่เพียงแต่เป็นคนละประเภท หากไม่มีใบอนุญาตนี้ถือว่าเถื่อน 
(3) ประเภทผู้รับบริการ: เราจะสามารถเห็นผู้ที่มีอาการของอัมพาต อัมพฤกษ์ และอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อในการบริการทั้งสอง แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการทางระบบปอดหรือหัวใจและหลอดเลือดนั้นต้องมาหานักกายภาพบำบัดเท่านั้น 
(4) การตรวจร่างกาย: นักกายภาพบำบัดจะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายให้สอดคล้องกับอาการและโรคที่เป็นเพื่อนำไปวางแผนการรักษาที่อาจจะมีการนวดปนอยู่ด้วย ส่วนการนวดจะมีการสอบถามเกี่ยวกับโรคประจำตัวกับบริเวณที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ รวมทั้งรูปแบบของการนวด 
(5) กระบวนการหัตถการ: การนวดเป็นหนึ่งในกระบวนการกายภาพบำบัดซึ่งอาจจะนวดหรือไม่นวดก็ได้ ในขณะนวดก็ไม่มีรูปแบบตายตัวเพราะต้องดูการตอบสนองของผู้ป่วยไปด้วย ส่วนในการนวดจะทำการนวดตามรูปแบบที่วางไว้ของการนวดแต่ละประเภทเช่นนวดไทยจะนวดจากเท้าเป็นส่วนแรก 
(6) เป้าหมายการนวด: ส่วนของกายภาพบำบัดจะต้องการให้กล้ามเนื้อสามารถกลับไปทำงานได้เป็นหลักซึ่งเราต้องการให้กล้ามเนื้อมีการหดตัวและยืดตัวดีขึ้น ส่วนการผ่อนคลายสบายอารมณ์เป็นรอง แต่สำหรับการนวดของ massage therapist จะเน้นไปทางผ่อนคลายมากกว่า ยิ่งถ้าผู้รับบริการหลับไปเลยจะถือว่ามีฝีมือมากๆเพราะเป็นการทำให้ผู้รับบริการได้พักได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง อันนี้ผมเคยโดนมาแล้ว พอนวดเสร็จตื่นมารู้สึกสดชื่นมีพลังมากขึ้น หลังการนวดจะไม่มีการตรวจร่างกายซ้ำ (re - assessment) ซึ่งตรงข้ามกับกายภาพบำบัดแต่ผมถือว่าไม่เป็นไรเพราะเป้าหมายเราต่างกัน

การตรวจร่างกายทางกายภาพบำบัดและวิเคราะห์ปัญหาให้ผู้ป่วย


 
  • ไปทำกายภาพบำบัดหรือไปนวดดีกว่า
            สำหรับผมไม่มีอะไรดีกว่ากัน ขอให้วิธีการนั้นตรงกับความผิดปกติที่ผู้รับบริการเป็น เหมือนกับคำที่มักใช้กันว่าเกาให้ถูกที่คันนั่นแหละครับ การนวดก็ช่วยให้นักกายภาพบำบัดทำงานได้ง่ายขึ้นมากเช่นผู้ป่วยบางคนต้องใช้เวลาในการนวดนานหน่อยแล้วค่อยมากระตุ้นกล้ามเนื้อกันซึ่งนักกายภาพบำบัดไม่มีเวลาในการนวดขนาดนั้น เมื่อผู้ป่วยผ่านมือ massage therapist มาแล้วนักกายภาพบำบัดก็จะได้ใช้เวลามากระตุ้นกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือหากไปนวดมาก่อนแล้วอาการความผิดปกติยังไม่ดีขึ้นเลยก็สามารถมาปรึกษานักกายภาพบำบัดได้ อาจจะกลับไปนวดต่อตามคำแนะนำเฉพาะจากนักกายภาพบำบัดได้หรืออาจจะต้องทำกายภาพบำบัดก่อนสักพักแล้วกลับไปนวด ดังนั้นการกายภาพบำบัดและการนวดสามารถแก้ปัญหาความผิดปกติให้กับผู้ป่วยได้หากตรงกับโรคซึ่งเป็นการตอบคำถามข้างต้นว่าสามารถไปนวดได้ ถ้าไม่หายค่อยมาหากายภาพบำบัด 
        ในประสบการณ์การทำงานของผม ผมแนะนำให้ผู้ป่วยบางรายไปนวดได้พร้อมกับแนะนำประเภทของการนวดและจุดที่เน้นให้เกิดประโยชน์กับความปกติที่เขาเป็น ในทางกลับกันในกรณีที่ massage therapist รู้สึกถึงความผิดปกติหรือเป็นโรคบางอย่างหรือนวดแล้วไม่ผ่อนคลายเลย ก็จะแนะนำลูกค้าให้มาปรึกษานักกายภาพบำบัดด้วย จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 วิชาชีพสามารถทำงานร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้รับบริการได้ 


    เปรียบเทียบเพื่อเลือกบริการ    
    (1) บรรยากาศของสถานที่: ลักษณะของคลินิกกายภาพบำบัดจะต้องมีความสว่างและไม่ชวนหลับสักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับสถานที่นวดที่มีแสงสีเหลืองสลัวๆ กลิ่นหมอจากเทียนหอมระเหย เสียงเพลงกระตุ้น delta wave เบาๆ ชวนให้เคลิ้มหลับมากๆ
บรรยากาศห้องนวดในสปา

    (3) ความผ่อนคลาย: ผ่อนคลายทั้งคู่ครับแต่ถ้าอยากผ่อนคลายนานๆต้องนวดกับ massage therapist
    (4) ความต้องการการพักผ่อน: การนวดกับ massage therapist สามารถหลับได้ซึ่งถือว่าเป็นการพักผ่อน แต่การนวดกับกายภาพบำบัดอาจจะหลับได้ไม่นานแล้วต้องทำการกระตุ้นกล้ามเนื้อหรือออกกำลังกายเพื่อการรักษาด้วย
    (5) ระยะเวลาในการนวด: massage therapist มักจะจัด package การนวดไว้ 1 หรือ 2 ชั่วโมง สำหรับนวดทั้งตัว แต่การนวดกับกายภาพบำบัดอาจจะอยู่ระหว่าง 10 - 30 นาที เเละเป็นการนวดที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติเท่านั้นจะไม่นวดทั้งตัว
    (6) ลดอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ: ในบางภาวะก็ไม่เหมาะกับการนวดเช่นกล้ามเนื้อฉีกในระยะที่มีอาการอักเสบ ยิ่งนวดยิ่งเจ็บจำเป็นต้องใช้วิธีการอื่นเข้าไปดูแล ดังนั้นหากนวดแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำว่ามาพบนักกายภาพบำบัดเพื่อใช้วิธีอื่นๆเข้ามาดูแล
    (7) กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ: ในบางภาวะก็สามารถกระตุ้นได้ด้วยการนวดจากทั้ง massage therapy และกายภาพบำบัด แต่ในบางภาวะก็ต้องการวิธีการทางกายภาพบำบัดอื่นๆเข้ามาร่วมด้วย
    (8) ราคา: อันนี้ตอบยากมากครับ แล้วแต่สถานที่ จังหวัด และต้นทุนบวกกำไรของแต่ละที่ 

บรรยากาศการทำกายภาพบำบัด

บรรยากาศการทำกายภาพบำบัด


  
    
    "สรุปว่านักกายภาพบำบัดไม่ใช่หมอนวดปริญญา เพียงแต่การนวดเป็นขั้นตอนนึงที่เราอาจจะเลือกใช้ หากต้องการการผ่อนคลายได้พักผ่อนก็แนะนำให้เริ่มต้นกับ massage therapist แต่ถ้าต้องการแก้ปัญหาอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อหรืออัมพาตอัมพฤกษ์แนะนำให้เริ่มต้นกับนักกายภาพบำบัด" 

 



Sports physiotherapy management for tennis elbow and other treatment options.

Ultrasound therapy in tennis elbow treatment (Ref: https://nesintherapy.com/) Tennis elbow is degeneration of the tendons that attach to t...