แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Swedish massage แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Swedish massage แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2565

เปรียบเทียบการนวด Sports massage, Swedish massage, Thai massage

 การเปรียบเทียบข้อมูลการนวด Sports massage, Swedish massage, Thai massage

                ถึงแม้ว่าการนวดทุกประเภทในโลกนี้จะมีเป้าหมายในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจิตใจเป็นหลักเหมือนกันหมด แต่ในรายละเอียดวิธีการนวดก็แตกต่างกันออกไปซึ่งทำให้ผลลัพทธ์ของการนวดแตกต่างกันออกไปบ้าง ในบทความนี้ได้รวบรวมการนวดที่นิยมในประเทศไทยมาเปรียบเทียบกันเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเลือกการนวดที่ตรงกับความต้องการของตัวเองมากที่สุดโดยเนื้อหานำมาจากประสบการณ์ของผมบางส่วนผสมกับเนื้อหาทางเอกสารวิชาการ

1. ถิ่นกำเนิด

        Sports massage: ประเทศฟินแลนด์

        Swedish massage: ประเทศสวีเดน

        Thai massage: ประเทศไทย


2. วิธีการนวด

        Sports massage: นวดด้วยมือ นิ้ว และท่อนแขน

        Swedish massage: นวดด้วยมือ นิ้ว และท่อนแขน


        Thai massage: นวดด้วยแทบทุกส่วนของร่างกายได้แก่มือ นิ้ว ท่อนแขน ศอก สะโพก เข่า เท้า





3. การยืดกล้ามเนื้อ

         Sports massage: ยืดกล้ามเนื้อที่จำเป็นตามชนิดกีฬา



        Swedish massage: ไม่มี

        Thai massage: ยืดกล้ามเนื้อตำมแบบฉบับการนวดแผนไทย



4. การดัดข้อ

        Sports massage: ไม่มี

        Swedish massage: ไม่มี

        Thai massage: มีการดัดกระดูกสันหลังเล็กน้อย




5. นวดพังผืด (myofascial fascia release)

        Sports massage: มี

        Swedish massage: มี

        Thai massage: ไม่มี


6. ประคบร้อน/เย็น

        Sports massage: ไม่มี

        Swedish massage: ไม่มี

        Thai massage: มีการประคบร้อนผ่านลูกประคบสมุนไพรเป็นตัวเลือกที่ผู้รับบริการเลือกได้



7. รูปแบบการนวด

          Sports massage: ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ปรับตามประเภทกีฬา สภาพนักกีฬา และสถานการณ์ ณ เวลานั้น

        Swedish massage: มีรูปแบบการนวดค่อนข้างตายตัว แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้พอสมควรเพื่อตามความเหมาะสม

        Thai massage: มีรูปแบบการนวดที่ตายตัว แต่พอจะปรับเปลี่ยนได้บ้างเพื่อความเหมาะสม


8. ลักษณะเด่นพิเศษ

        Sports massage: นวดกล้ามเนื้อตามที่ชนิดกีฬาใช้, ประกอบไปด้วยการนวดกระตุ้นก่อนแข่ง (preevent), นวดรักษาความสดชื่นระหว่างแข่ง (interevent) และนวดเพื่อการฟื้นตัวหลังแข่ง (postevemt)


        Swedish massage: เป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายอย่างแท้จริงในบรรยากาศชวนหลับไหลเคลิ้มไปกับการนวดที่อ่อนโยน จึงทำให้กล้่มเนื้อคลายตัวและหย่อยตัวได้ดีมาก, ไม่เหมาะที่จะใช้นวดก่อนซ้อมหรือแข่งกีฬาจึงเหมาะที่จะใช้หลังจากการซ้อมหรือแข่งเท่านั้นหรือใช้ช่วงปิดฤดูกาล

        Thai massage: มีการนวด 2 แบบคือแบบทั่วไปและแบบราชสำนัก, เป็นการนวดเพื่อผ่อนคลาย ตามประสบการณ์ของผมเปรียบเทียบแล้วจะได้รับน้ำหนักการนวดมากกว่าการนวด Swedish, มีการนวดทั้งนอนคว่ำ นอนหงาย นอนตะแคง และนั่ง, ใช้เทคนิคการเหยียบด้วยเท้าร่วมด้วย, ไม่เหมาะที่จะใช้นวดก่อนซ้อมหรือแข่งกีฬา


9. ระยะเวลาในการนวด

        Sports massage: ไม่เกิน 20 นาที

        Swedish massage: ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง

        Thai massage: ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง


10. ผลของการนวด

         Sports massage: ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจิตใจ, ป้องกันการหดสั้นของกล้ามเนื้อที่จำเป็นตามชนิดกีฬา, ลดการเจ็บปวดและระบมกล้ามเนื้อ, เสียแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่มาก, เพิ่มความยืดหยุ่นของพังผืด

        Swedish massage: ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจิตใจ, ลดการเจ็บปวดและระบมกล้ามเนื้อ, มีโอกาสเสียแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อมากกว่า sports massage, เพิ่มความยืดหยุ่นของพังผืด

        Thai massage: ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจิตใจ, ป้องกันการหดสั้นของกล้ามเนื้อบางมัด, ลดการเจ็บปวดและระบมกล้ามเนื้อ, มีโอกาสเสียแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อมากกว่า sports massage


11. กลุ่มลูกค้า

        Sports massage: นักกีฬา

        Swedish massage: นักกีฬาโดยเฉพาะช่วงปิดฤดูกาลแข่งขัน, คนทั่วไปเช่น office syndrome, ผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่มีข้อห้ามหรือสามารถควบคุมโรคได้แล้วเช่นผู้ป่วยอัมพาตอัมพฤกษ์เพื่อลดอาการเกร็งแต่ต้องนวดด้วยความระมัดระวัง

        Thai massage: นักกีฬาโดยเฉพาะช่วงปิดฤดูกาลแข่งขัน, คนทั่วไปเช่น office syndrome, ผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่มีข้อห้ามหรือสามารถควบคุมโรคได้แล้วเช่นผู้ป่วยอัมพาตอัมพฤกษ์เพื่อลดอาการเกร็งแต่ต้องนวดด้วยความระมัดระวัง





        เนื้อหาทั้งหมดไม่สามารถเปรียบเทียบเรื่องราคาได้เนื่องจากการตั้งราคามีความแตกต่างจำเพาะในแต่ละสถานที่ หากผู้อ่านเป็นนักกีฬาอาชีพที่อยู่ในช่วงฤดูกาลแข่งขัน ผมอยากแนะนำให้ใช้การนวด sports massage ไปก่อน และสามารถใช้การนวดอื่นๆเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในช่วงปิดฤดูกาล ส่วนผู้อ่านที่ไม่ใช่นักกีฬาอาชีพหรือเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพและสังคมสามารถเลือกการนวดแบบไหนก็ได้ตามชอบใจ หากชอบการนวดที่หนักหน่อยแบบถึงอกถึงใจ ตามประสบการณ์ผมขอแนะนำนวดไทย ส่วนคนที่กล้ามเนื้อน้อยหรือไม่ชอบการนวดหนักๆก็ขอแนะนำการนวด Swedish 

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2565

กายภาพบำบัด vs. หมอนวด

        คนที่เจ็บกล้ามเนื้อหลายๆคนและหลายๆครั้งมีคำถามว่ามาทำกายภาพบำบัดคือมานวดใช่มั้ย? นักกายภาพบำบัดคือหมอนวดปริญญา? ในความรู้สึกของนักกายภาพบำบัดหลายๆคนจะค่อยข้างตอบลำบากกับคำถามนี้รวมทั้งตัวผมด้วย แต่ผมมักจะตอบว่าผมสามารถนวดได้ครับ มันเป็นส่วนนึงของการรักษาแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของตัวโรคและต้องตรวจร่างกายตามมาตราฐานของกายภาพบำบัดก่อนนวด คำถามอีกข้อนึงที่นักกายภาพบำบัดมักจะต้องตอบคือไปนวดได้มั้ย คำถามนี้เดี๋ยวมีเฉลยตอนท้ายครับ


 
  • นิยามที่แตกต่างระหว่างนักกายภาพบำบัดและนักนวด
        ผมได้นิยามนักกายภาพบำบัดว่าเป็นนักพัฒนาและป้องกันการเคลื่อนไหวบกพร่องจากความเสื่อมตามอายุ, การบาดเจ็บ, ความเจ็บปวด, โรค, ความบกพร่องของร่างกาย, และ/หรือสิ่งแวดล้อม ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แขนงกายภาพบำบัด (อ่านย้อนหลังได้ที่ https://rehabcompanion.blogspot.com/.../02/blog-post_25.html) ในกระบวนการการรักษาทางกายภาพบำบัดมักจะประกอบด้วยการใช้เครื่องไฟฟ้าทางกายภาพบำบัดเช่น ultrasound, shock wave, high power laser, radio frequency, ประคบร้อน, ประคบเย็น และการใช้มือบำบัดได้การการนวดกล้ามเนื้อและเอ็น, การดึงดัดข้อ, การยืดกล้ามเนื้อ, การกระตุ้นกล้ามเนื้อผ่านระบบประสาทรับความรู้สึก, การออกกำลังกายเพื่อการรักษา 

การยืดกล้ามเนื้อเกี่ยวกับมัดที่มีปัญหา


         หมอนวดหรือ massage therapist เป็นนักนวด มาจากคำว่า นัก = ผู้ทำบ่อยๆ หรือชำนาญ นวด = นวด ดังนั้นกระบวนการของนักนวดคือการนวดตามรูปแบบของการนวดนั้นๆ เช่นนวดน้ำมันเป็นการนวดด้วยการลูบผิวและกล้ามเนื้อด้วยน้ำมัน นวดไทยเป็นการนวดตามหลักการของเส้นประสาน 10 ตามศาสตร์การนวดแผนไทยซึ่งมีทั้งการนวด การยืดและการดัดผสมผสานกันไป นวดอโรม่าเป็นการนวดน้ำมันหอมระเหยจะใช้แรงน้อยกว่านวดน้ำมัน นวดกีฬา (sports massage) เป็นการนวดกล้ามเนื้อเป็นหลักมีทั้งการนวดหนักนวดเบาเพื่อให้เข้าถึงชั้นกล้ามเนื้อทั้งลึกทั้งตื้นซึ่งการนวดชนิดนี้ผมจะขอยกไปไว้เป็นอีกหัวข้อนึงในอนาคต การนวดที่กล่าวมานี่้เป็นเพียงส่วนนึงในตลาดการนวดที่เป็นจักรวาลที่กว้างใหญ่มาก

หน้าตาฟินมากกกกกกกก


 
  • ความแตกต่างของการทำงานระหว่างนักกายภาพบำบัดและ massage therapist
(1) หลักสูตรการศึกษา: นักกายภาพบำบัดจะต้องจบปริญญาตรีสาขากายภาพบำบัดเป็นอย่างน้อยและมีใบประกอบโรคศิลปะเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นนักกายภาพบำบัดอย่างแท้จริง ส่วน massage therapist บางคนก็ไปเรียนอบรมระยะสั้นซึ่งเป็นคนที่มาจากหลากหลายอาชีพที่ต้องการมีทักษะในการทำงานอื่นเพิ่่มเติม หรือหลายๆคนก็จบปริญญาตรีแพทย์แผนไทยหรือจีนและมีใบประกอบโรคศิลปะ 
(2) สถานประกอบการ: ทั้งคลินิกกายภาพบำบัดและร้านนวดต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการจากสาธารณสุขจังหวัดทั้งคู่เพียงแต่เป็นคนละประเภท หากไม่มีใบอนุญาตนี้ถือว่าเถื่อน 
(3) ประเภทผู้รับบริการ: เราจะสามารถเห็นผู้ที่มีอาการของอัมพาต อัมพฤกษ์ และอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อในการบริการทั้งสอง แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการทางระบบปอดหรือหัวใจและหลอดเลือดนั้นต้องมาหานักกายภาพบำบัดเท่านั้น 
(4) การตรวจร่างกาย: นักกายภาพบำบัดจะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายให้สอดคล้องกับอาการและโรคที่เป็นเพื่อนำไปวางแผนการรักษาที่อาจจะมีการนวดปนอยู่ด้วย ส่วนการนวดจะมีการสอบถามเกี่ยวกับโรคประจำตัวกับบริเวณที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ รวมทั้งรูปแบบของการนวด 
(5) กระบวนการหัตถการ: การนวดเป็นหนึ่งในกระบวนการกายภาพบำบัดซึ่งอาจจะนวดหรือไม่นวดก็ได้ ในขณะนวดก็ไม่มีรูปแบบตายตัวเพราะต้องดูการตอบสนองของผู้ป่วยไปด้วย ส่วนในการนวดจะทำการนวดตามรูปแบบที่วางไว้ของการนวดแต่ละประเภทเช่นนวดไทยจะนวดจากเท้าเป็นส่วนแรก 
(6) เป้าหมายการนวด: ส่วนของกายภาพบำบัดจะต้องการให้กล้ามเนื้อสามารถกลับไปทำงานได้เป็นหลักซึ่งเราต้องการให้กล้ามเนื้อมีการหดตัวและยืดตัวดีขึ้น ส่วนการผ่อนคลายสบายอารมณ์เป็นรอง แต่สำหรับการนวดของ massage therapist จะเน้นไปทางผ่อนคลายมากกว่า ยิ่งถ้าผู้รับบริการหลับไปเลยจะถือว่ามีฝีมือมากๆเพราะเป็นการทำให้ผู้รับบริการได้พักได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง อันนี้ผมเคยโดนมาแล้ว พอนวดเสร็จตื่นมารู้สึกสดชื่นมีพลังมากขึ้น หลังการนวดจะไม่มีการตรวจร่างกายซ้ำ (re - assessment) ซึ่งตรงข้ามกับกายภาพบำบัดแต่ผมถือว่าไม่เป็นไรเพราะเป้าหมายเราต่างกัน

การตรวจร่างกายทางกายภาพบำบัดและวิเคราะห์ปัญหาให้ผู้ป่วย


 
  • ไปทำกายภาพบำบัดหรือไปนวดดีกว่า
            สำหรับผมไม่มีอะไรดีกว่ากัน ขอให้วิธีการนั้นตรงกับความผิดปกติที่ผู้รับบริการเป็น เหมือนกับคำที่มักใช้กันว่าเกาให้ถูกที่คันนั่นแหละครับ การนวดก็ช่วยให้นักกายภาพบำบัดทำงานได้ง่ายขึ้นมากเช่นผู้ป่วยบางคนต้องใช้เวลาในการนวดนานหน่อยแล้วค่อยมากระตุ้นกล้ามเนื้อกันซึ่งนักกายภาพบำบัดไม่มีเวลาในการนวดขนาดนั้น เมื่อผู้ป่วยผ่านมือ massage therapist มาแล้วนักกายภาพบำบัดก็จะได้ใช้เวลามากระตุ้นกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือหากไปนวดมาก่อนแล้วอาการความผิดปกติยังไม่ดีขึ้นเลยก็สามารถมาปรึกษานักกายภาพบำบัดได้ อาจจะกลับไปนวดต่อตามคำแนะนำเฉพาะจากนักกายภาพบำบัดได้หรืออาจจะต้องทำกายภาพบำบัดก่อนสักพักแล้วกลับไปนวด ดังนั้นการกายภาพบำบัดและการนวดสามารถแก้ปัญหาความผิดปกติให้กับผู้ป่วยได้หากตรงกับโรคซึ่งเป็นการตอบคำถามข้างต้นว่าสามารถไปนวดได้ ถ้าไม่หายค่อยมาหากายภาพบำบัด 
        ในประสบการณ์การทำงานของผม ผมแนะนำให้ผู้ป่วยบางรายไปนวดได้พร้อมกับแนะนำประเภทของการนวดและจุดที่เน้นให้เกิดประโยชน์กับความปกติที่เขาเป็น ในทางกลับกันในกรณีที่ massage therapist รู้สึกถึงความผิดปกติหรือเป็นโรคบางอย่างหรือนวดแล้วไม่ผ่อนคลายเลย ก็จะแนะนำลูกค้าให้มาปรึกษานักกายภาพบำบัดด้วย จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 วิชาชีพสามารถทำงานร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้รับบริการได้ 


    เปรียบเทียบเพื่อเลือกบริการ    
    (1) บรรยากาศของสถานที่: ลักษณะของคลินิกกายภาพบำบัดจะต้องมีความสว่างและไม่ชวนหลับสักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับสถานที่นวดที่มีแสงสีเหลืองสลัวๆ กลิ่นหมอจากเทียนหอมระเหย เสียงเพลงกระตุ้น delta wave เบาๆ ชวนให้เคลิ้มหลับมากๆ
บรรยากาศห้องนวดในสปา

    (3) ความผ่อนคลาย: ผ่อนคลายทั้งคู่ครับแต่ถ้าอยากผ่อนคลายนานๆต้องนวดกับ massage therapist
    (4) ความต้องการการพักผ่อน: การนวดกับ massage therapist สามารถหลับได้ซึ่งถือว่าเป็นการพักผ่อน แต่การนวดกับกายภาพบำบัดอาจจะหลับได้ไม่นานแล้วต้องทำการกระตุ้นกล้ามเนื้อหรือออกกำลังกายเพื่อการรักษาด้วย
    (5) ระยะเวลาในการนวด: massage therapist มักจะจัด package การนวดไว้ 1 หรือ 2 ชั่วโมง สำหรับนวดทั้งตัว แต่การนวดกับกายภาพบำบัดอาจจะอยู่ระหว่าง 10 - 30 นาที เเละเป็นการนวดที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติเท่านั้นจะไม่นวดทั้งตัว
    (6) ลดอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ: ในบางภาวะก็ไม่เหมาะกับการนวดเช่นกล้ามเนื้อฉีกในระยะที่มีอาการอักเสบ ยิ่งนวดยิ่งเจ็บจำเป็นต้องใช้วิธีการอื่นเข้าไปดูแล ดังนั้นหากนวดแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำว่ามาพบนักกายภาพบำบัดเพื่อใช้วิธีอื่นๆเข้ามาดูแล
    (7) กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ: ในบางภาวะก็สามารถกระตุ้นได้ด้วยการนวดจากทั้ง massage therapy และกายภาพบำบัด แต่ในบางภาวะก็ต้องการวิธีการทางกายภาพบำบัดอื่นๆเข้ามาร่วมด้วย
    (8) ราคา: อันนี้ตอบยากมากครับ แล้วแต่สถานที่ จังหวัด และต้นทุนบวกกำไรของแต่ละที่ 

บรรยากาศการทำกายภาพบำบัด

บรรยากาศการทำกายภาพบำบัด


  
    
    "สรุปว่านักกายภาพบำบัดไม่ใช่หมอนวดปริญญา เพียงแต่การนวดเป็นขั้นตอนนึงที่เราอาจจะเลือกใช้ หากต้องการการผ่อนคลายได้พักผ่อนก็แนะนำให้เริ่มต้นกับ massage therapist แต่ถ้าต้องการแก้ปัญหาอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อหรืออัมพาตอัมพฤกษ์แนะนำให้เริ่มต้นกับนักกายภาพบำบัด" 

 



วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เคล็ดลับเดินขึ้นลงบันไดสูงๆยังไงไม่ให้ระบมกล้ามเนื้อขา

 เคล็ดลับพิชิตยอดศาสนสถานอุทยานธรรมเขานาในหลวง

                อุทยานธรรมเขานาในหลวงตั้งอยู่ที่หมู่ 8 บ้านเขานาใน ต.ต้นยวน อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี เป็นสำนักสงฆ์สำหรับการอบรมวิปัสสนากรรมฐาน มีความสงบร่มเย็นห้อมล้อมไปด้วยป่าเขา สวนยาง สวนปาล์ม และชุมชนอันสงบสุข ในเว็บข้อมูลการท่องเที่ยวต่างๆนอกจากจะพูดถึงว่าเป็นสถานที่สำหรับการศึกษาพุทธธรรมแล้ว ยังได้พูดถึงมุมถ่ายรูปสวยๆอีกมากมายเช่นซุ้มประตูโบราณแบบ 9 ยอด และศาสนสถานที่ตั้งอยู่บนเขาหินปูนถึง 6 ยอด แต่ละยอดก็สูงมากทั้งนั้นเช่นเจดีย์ลอยฟ้าพระพุทธศิลาวดีที่ก่อสร้างด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่บนยอดเขาหินปูนสูงจากพื้นดินเกือบ 300 เมตร ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตไว้


ซุ้มประตู 9 ยอด

ศาสนสถานยอดที่ 1 อยู่มุมขวาบนของซุ้มประตู

                ด้วยแรงศรัทธาและอยากขึ้นไปเห็นวิวในมุมกว้างจึงได้เดินขึ้นจำนวน 2 ยอด น่าเสียดายหากไม่รีบเดินทางต่ออาจจะไปครบทุกยอดก็ได้ ดังนั้นเท่ากับว่าผมเดินขึ้นความสูงรวมประมาณ 600 เมตร เพราะว่าแต่ละยอดจะสร้างไล่เรียงความสูงกันขึ้นไปเรื่อยๆ จากความสูงขนาดนี้ผมเดินไหวยังไง แข็งแรงแบบ the Huck ใช่มั้ย ผมสามารถตอบดังๆได้เลยครับว่าไม่ได้แข็งแรงมากครับ





                ก่อนจะเดินขึ้นไปเพื่อนๆก็แซวกันว่าข้อเข่าไม่ไหวแน่ แต่พอเดินจริงๆมันเปลี่ยนความเชื่อนั้นเลยครับ

                “หัวเข่ายังไหวแต่หัวใจแทบแย่”

                โชคดีที่ผมได้มีโอกาสออกกำลังกายวิ่งวันละ 5 กิโลเมตรอยู่บ่อยๆครับ เลยทำให้กล้ามเนื้อขอพอจะมีแรงบ้างและหัวใจก็ยังพอรับกับงานสู้แรงโน้มถ่วงโลกได้ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญมากๆที่เป็นเคล็ดลับที่ทำให้ผมสามารถพิชิตได้ถึง 2 ยอดซึ่งอาศัยหลักการทำงานและฟิสิกส์ที่เรียนมาในหลักสูตรกายภาพบำบัดก็คือ

                “การเดินถอยหลังลงบันได”





ภาพบนยอดที่ 2 ได้ภาพมุมกว้างและยอดเขาอื่นด้วย

                เป็นใครก็ต้องนึกภาพจำนวนขั้นบันไดและความสูงของขั้นบันได้ที่กว่าจะเดินขึ้นไปถึงยอดเขาได้ว่ามันต้องมากมายขนาดไหนใช่มั้ยครับ ใช่ครับ เราเดินขึ้นกี่ขั้นก็ต้องเดินลงกี่ขั้นเท่ากัน หากเราเดินลงบันไดโดยหันหน้าลงแบบเท่ๆ กล้ามเนื้อ Quadriceps (กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า) จะทำงานหนักมากและเกิดแรงกดที่ข้อเข่าสูงมากเพราะเป็นการทำงานแบบ eccentric contraction หากใครนึกไม่ออกก็ลอง squat สัก 200 ครั้งครับ จะรับรู้ถึงอาการปวดเมื่อยล้าระบมที่กล้ามเนื้อต้นขา นั่นแหละครับถ้าเราเมื่อยขาแล้วเราก็จะไปยอดต่อไปไม่ได้ แต่การเดินถอยหลังลงบันไดแบบที่ผมทำจะมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่อีกมัดนึงเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของ Quadriceps ก็คือกล้ามเนื้อก้นหรือ gluteus maximus ครับ นอกจากนี้การเดินถอยหลังลงบันไดจะบังคับให้เราก้มตัวไปด้านหน้าด้วยทำให้จุดรวมน้ำหนักของร่างกายอยู่กับขาบนมากกว่าขาล่างผลก็คือน้ำหนักตัวถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงลงพื้นได้น้อยลงซึ่งเป็นการได้เปรียบเชิงกล ด้วยหลักการนี้จึงทำให้กล้ามเนื้อผมประหยัดพลังงานเพื่อไปพิชิตยอดเขาต่อไปได้

                หากใครอยากได้เคล็ดลับการเคลื่อนไหวให้ประหยัดพลังงานกล้ามเนื้อสามารถเขียนเข้ามาถามกันได้ครับ ผมจะหาคำตอบหรือออกแบบวิธีการเพื่อนำเสนอไปใช้กัน



มีสระบัวเพิ่มความสวยงาม



พระพุทธศิลาวดีที่ก่อสร้างด้วยศิลาแลง ทางอุทยานฯจะให้ถอดรองเท้าไว้ชั้นล่าง
ทำให้ตอนเดินเจ็บเท้าเอาเรื่องนิดหน่อย

Sports physiotherapy management for tennis elbow and other treatment options.

Ultrasound therapy in tennis elbow treatment (Ref: https://nesintherapy.com/) Tennis elbow is degeneration of the tendons that attach to t...